“ธนาคารไทยเครดิต” มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังท้าทาย ขณะที่ภาษีทรัมป์ไม่กระทบลูกหนี้
นายรอยด์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารไทยเครดิต เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังคงเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก การแข่งขันในระบบการเงิน และมาตรการภาษีทรัมป์ที่พึ่งประกาศผลบังคับใช้ออกมาเป็น 19% จากเดิมที่ 36% โดยมองว่าไม่กระทบโดยตรงต่อลูกหนี้ของธนาคาร เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายย่อยและไมโคร SME ที่ทำธุรกิจภายในประเทศเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม อาจสะเทือนต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวม ซึ่งธนาคารจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
“ลูกค้าของเราไม่ได้อยู่ใน Suply chian ของการนำเข้า-ส่งออก ผลกระทบจากภาษีทรัมป์จึงน้อย แต่แน่นอนว่าเมื่อภาษีทรัมป์เข้ามาจะทำให้ประชาชนมีเงินน้อยลง กำลังซื้อในภาพรวมจะลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบในทางอ้อมได้”
อย่างไรก็ดี นายรอยด์ ระบุว่า กลยุทธ์หลักในช่วงปีหลังนี้ ธนาคารจะยังคงเน้นเจาะตลาดไมโคร SME อย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าในกลุ่มนี้คิดเป็นกว่า 70% ของฐานลูกค้าทั้งหมด และยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการประกอบธุรกิจ แม้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อในปีนี้ไว้ในระดับ 10–15% ซึ่งถือเป็นระดับที่ประเมินอย่างระมัดระวัง จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และความเสี่ยงที่ต้องจับตาต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) คาดว่าจะยืนได้ที่ 15% และรักษาอัตราส่วน NPL ให้อยู่ไม่เกิน 4.5% ควบคู่กับการควบคุมต้นทุนต่อรายได้ (Cost to Income) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 42%
ขณะเดียวกัน นายรอยด์ กล่าวว่า ธนาคารยังคงจับตาการแข่งขันในอุตสาหกรรมธนาคาร โดยเฉพาะ Virtual Bank ที่จะเข้ามาในระบบในอนาคต แม้จะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน แต่มองว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทุกองค์กรในระบบการเงินต้องยกระดับการให้บริการและพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีธนาคารจะมีการผ่อนคลายสินเชื่อหรือไม่ นายรอยด์ชี้แจงว่า ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พอร์ตสินเชื่อของไทยเครดิตเติบโตเฉลี่ยถึง 250% สะท้อนความต้องการที่ยังมีอยู่ในกลุ่มลูกค้ารากหญ้า ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีความต้องการกู้ยืมในระดับสูง แม้จะไม่ได้มาจากการขยายกิจการโดยตรง แต่เป็นความต้องการเพื่อรักษาสภาพคล่องในช่วงที่รายได้หยุดนิ่ง การปล่อยสินเชื่อจึงต้องทำอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันปัญหาการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และไม่เพิ่มภาระหนี้ให้ลูกค้าเกินจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารได้เตรียมแนวทางรับมือผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่
1.) การดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด
2.) การปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
3.) การควบคุมความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทางผ่านการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด
โดยในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาทางการเงิน เช่น ลดภาระชำระหนี้ในช่วงรายได้ตกต่ำ และฟื้นฟูให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ หากไม่สามารถฟื้นฟูได้จึงจะเข้าสู่กระบวนการจัดการหนี้เสีย ซึ่งธนาคารได้ตั้งสำรองความเสี่ยงไว้เบื้องต้นแล้ว
ซึ่งในระยะยาว นายรอยด์ ระบุว่า ธนาคารยังคงตั้งเป้าหมายการเป็น Growth Bank ที่เติบโตในอัตราสูงอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและเพิ่มประสิทธิภาพบริการให้รองรับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยกว่า 70% ของพอร์ตสินเชื่อในแต่ละปีเป็นลูกค้าใหม่ และไม่ใช่การปล่อยซ้ำให้กับลูกค้าเดิมอีกด้วย
นายรอยด์ กล่าวอีกว่า ธนาคารยังมีความแตกต่างจากธนาคารทั่วไป โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งในปีล่าสุดอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท และมีROE สูงถึง 7% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่อยู่เพียง 3% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจที่เน้นกลุ่มฐานรากเป็นหลัก ทั้งนี้ ยอมรับว่าในด้านการสื่อสารกับผู้ลงทุนและผู้บริโภค ยังมีความเข้าใจในโมเดลธุรกิจไม่ทั่วถึง จึงวางแผนจะให้ความรู้และสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ด้านนายกิตติพันธ์ ศรีวรรณวิทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี ธนาคารไทยเครดิต กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2568 สามารถขยายสินเชื่อได้ถึง 5.2% ถือเป็นการเติบโตสูงที่สุดในระบบ ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 11 แห่งกลับหดตัวเฉลี่ยประมาณ 0.4% ทำให้ยอดสินทรัพย์ทะลุ 171,000 ล้านบาท จากการขยายสินเชื่อแบบระมัดระวัง สอดรับกับบริบทเศรษฐกิจและระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
ด้านผลกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก 2568 นายกิตติพันธ์ ระบุว่า ธนาคารสามารถทำได้ที่ 1,828 ล้านบาท เติบโตถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 1,270 ล้านบาท สูงกว่าอุตสาหกรรมธนาคารที่เฉลี่ยโตเพียง 3.5% ส่งผลให้ROE อยู่ที่ 15.5% เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 9.4%
ขณะที่ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) แม้ปรับตัวลดลงจาก 8.3% เหลือ 7.4% แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่สุดของอุตสาหกรรม สะท้อนถึงประสิทธิภาพด้านการบริหารรายได้ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากนโยบายดอกเบี้ยขาลง และการช่วยเหลือลูกค้าภายใต้มาตรการของภาครัฐ เช่น โครงการคุณสู้ เฟส 1 และเฟส 2
นอกจากนี้ นายกิตติพันธ์ กล่าวอีกว่า อัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ลดลงจาก 4.5% ในช่วงครึ่งปีแรก 67 มาอยู่ที่ 4.3% ในช่วงครึ่งปีแรก 68 ซึ่งต่ำกว่า NPL เฉลี่ยของสินเชื่อ SME ทั่วประเทศที่อยู่ราว 7% ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเงินสำรอง (Credit Cost) อยู่ที่ 2.08% ลดลงจาก 3.72% ในปี 67 คิดเป็นมูลค่าที่ลดลงกว่า 1,000 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หนี้ SME “ทรงตัว” เหตุกำลังซื้อต่ำ-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว
ภาคเอกชน หั่นการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปี 68 จะขยายตัวที่ 2.0-2.2% กังวล "บาทแข็งเร็ว"
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “ธนาคารไทยเครดิต” มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังท้าทาย ขณะที่ภาษีทรัมป์ไม่กระทบลูกหนี้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com