โบรกยก ‘หุ้นโรงพยาบาล-พลังงานน้ำ’ โดดเด่นรับอานิสงส์ ‘ช่วงฤดูฝน’
กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานสภาพอากาศในช่วงนี้ “ประเทศไทยตอนบน” ยังคงมีฝนตกหนักกระจาย โดยเฉพาะพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากในภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ ระบุว่า ในช่วงหน้าฝน “หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล” น่าจะได้รับประโยชน์สูงสุด หรือเรียกได้ว่า เป็นช่วงหน้าไฮซีซันของกลุ่มที่จะสามารถทำผลกำไรได้พีกที่สุด เนื่องจากรับอานิสงส์จากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงหน้าฝน
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในช่วงนี้ถึง ก.ย. 2568 ซึ่งตรงกับไตรมาส 3 ปี 2568 ของปี หลักๆ จะมีปัจจัยทางฤดูกาลหลายประการที่ส่งผลต่อภาพรวมของ “ตลาดหุ้น” และ “เศรษฐกิจ” โดยรวม โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนเป็นปัจจัยแรกที่สำคัญ ซึ่งมักจะส่งผลให้ธุรกิจบางประเภทชะลอตัว อย่างกลุ่มการก่อสร้าง และ กลุ่มจับจ่ายใช้สอย
โดยทั่วไปไตรมาส 3 ปี 2568 จะเป็นช่วงโลว์ซีซันของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค เนื่องจากเป็นช่วงที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการใช้จ่ายจะคึกคักมากก่อนสงกรานต์ แต่หลังจากนั้นจะเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูของการเพาะปลูก ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เงินไปกับการเตรียมการเพาะปลูก หรืออยู่ในฤดูกาลเพาะปลูก ส่งผลให้มีเงินสำหรับจับจ่ายใช้สอยในด้านอื่นๆ น้อยลง ปัจจัยนี้จึงอาจเป็นผลลบต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก
ขณะที่กลุ่มที่ได้รับปัจจัยบวกช่วงหน้าฝน คือ กลุ่มการแพทย์และโรงพยาบาลเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัด ซึ่งปีนี้สถานการณ์ต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้หุ้นการแพทย์และโรงพยาบาลมีแนวโน้มได้รับผลดี ซึ่งที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มนี้หลายตัวปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่มี Valuation น่าสนใจ
“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งโดยปกติจะตรงกับช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี โดยประเมินผลกระทบที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบคือ กลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะอ่อนตัวลงในช่วงฤดูฝน เนื่องจากไม่มีปัจจัยพิเศษอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้รายได้ ของกลุ่มค้าปลีกมีแนวโน้มที่จะลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ซึ่งผลกระทบดังกล่าวยังครอบคลุมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นไปตามฤดูกาลปกติ
ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์คือ กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำเนื่องจากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝนได้แก่ CKP ซึ่ง CKPได้รับประโยชน์สูงสุดจากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งมีกำลังการผลิต 1,275 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในประเทศลาว และ CKP เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ผลประกอบการของ CKP คาดว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นต้นไป
โดยคาดจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2568 ที่ 1,000-1,100 ล้านบาท เนื่องจากเดือนก.ค ถึง ก.ย.2568 เป็นช่วงฤดูไฮซีซันของน้ำ ส่วนกำไรไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตดี จากน้ำมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนพ.ค.และมิ.ย. 2568 หากเทียบกับกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 70 ล้านบาท และไตรมาส 2 อยู่ที่ประมาณ 630 ล้านบาท นอกจากนี้อัตราเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 3%
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า โดยรวมแล้วช่วงหน้าฝนไม่ค่อยมีธุรกิจใดได้ประโยชน์มากนัก เนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว การค้าขายทำได้ยากขึ้น และเป็น Low Season สำหรับธุรกิจเกือบทุกประเภท ซึ่งรวมถึงการก่อสร้างและการใช้จ่ายต่างๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก
แต่ทว่า กลุ่มโรงพยาบาลเป็นข้อยกเว้นที่อาจได้รับประโยชน์ จากโรคระบาดที่อาจเพิ่มขึ้น ในช่วงฤดูฝน แนะนำหุ้น BDMSมองว่าเป็นตัวใหญ่ที่ยังขึ้นน้อย เมื่อเทียบกับตัวอื่นๆ ขณะที่ BCH เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ
โดยทิศทางผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลไตรมาส 3 ปี 2568 ปกติแล้วถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีสำหรับกลุ่มโรงพยาบาล ทำให้กำไรกลุ่มโรงพยาบาลมีโอกาสที่จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับเป็นช่วงไฮซีซันธุรกิจโรงพยาบาล