แผลใจ "ลูกคนสุดท้อง" ขับรถกลับบ้าน 3 ชม. มาฟังพ่อแม่แบ่งสมบัติ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเจ็บลึก!
"ฉันมองเพดานเก่า ๆ ที่มีรอยคราบน้ำซึม ฟังเสียงจิ้งหรีดร้องจากในสวน แล้วรู้สึกว่างเปล่าในใจ" ลูกชายตัดพ้อ หลังขับรถกลับบ้าน 3 ชั่วโมงมาฟังพ่อแม่แบ่งสมบัติ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเจ็บลึกเกินคาด
เว็บไซต์ SOHA แชร์เรื่องราวของชายชาวจีนคนหนึ่ง ที่ออกมาเล่าเรื่องราวชีวิตของตนเองว่า ผมเป็นลูกชายคนสุดท้องในพี่น้องสามคน พ่อแม่เป็นชาวนา ทำงานหนักมาตลอดชีวิต แม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็เก็บหอมรอมริบจนมีที่ดินติดถนนใหญ่ และบ้านสองชั้นที่สร้างไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ผมจากบ้านไปเรียนตั้งแต่มัธยมปลาย ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วทำงานสร้างครอบครัวในเมืองใหญ่ ภรรยาของผมเป็นคนต่างจังหวัด เราจึงกู้เงินซื้อคอนโดเล็กๆ อยู่ด้วยกัน ปกติผมจะกลับบ้านแค่ช่วงเทศกาลหรือเมื่อมีเหตุจำเป็น พ่อแม่อยู่กับพี่ชายคนโตที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ทำอาชีพซ่อมมอเตอร์ไซค์ ส่วนพี่ชายคนกลางก็อยู่ในเมืองใกล้ๆ กลับมาเยี่ยมพ่อแม่บ้างเป็นครั้งคราว
แล้ววันหนึ่ง แม่โทรมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "วันอาทิตย์นี้ว่างไหม? กลับบ้านหน่อย พ่อจะเรียกประชุมครอบครัวเรื่องแบ่งสมบัติ" ผมตกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าการแบ่งทรัพย์สินน่าจะเกิดขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตมากกว่านี้ แต่ก็เข้าใจได้ พ่อแม่อายุก็เกิน 70 แล้ว อาจอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน
วันนั้นอากาศร้อนจัด ผมขับรถกลับบ้านกว่า 3 ชั่วโมงด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวล นั่งอยู่ในห้องรับแขกตรงหน้าพ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง ผมตั้งใจฟังคำพูดของพ่อที่เริ่มเปิดประเด็นว่า "วันนี้เรียกพวกแกมาคุยเรื่องบ้านกับที่ดิน… พ่อแม่แก่แล้ว ไม่อยากให้พวกแกทะเลาะกันทีหลัง บ้านสองชั้นกับที่ดินติดถนน พ่อจะยกให้พี่ชายคนโต"
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงพยายามสงบ "แล้วผมกับพี่ชายคนกลางล่ะครับ?" แม่จึงพูดแทรกขึ้นว่า "ยังมีสระน้ำหลังบ้านกับที่นาริมคลองนิดหน่อย พ่อแม่จะแบ่งให้พวกแกสองคน ถือว่าได้ติดมือ"
ในใจผมร้อนวูบขึ้นมา บ้านหลังใหญ่กับที่ดินทำเลทองกลับตกเป็นของพี่ชายคนโตทั้งหมด ส่วนผมกับพี่ชายอีกคนได้เพียงพื้นที่เล็กๆ ที่แทบไม่มีมูลค่าเปรียบเทียบกันได้เลย "พ่อแม่คิดว่านี่แฟร์แล้วหรือครับ?" ผมถามทั้งที่ในใจเดือดปุด
พ่อทุบโต๊ะเสียงดังแล้วพูดเสียงแข็งว่า "ไม่แฟร์ แล้วจะทำยังไง? แกหายหัวไปอยู่แต่ในเมือง เทศกาลค่อยกลับมา ไม่เคยช่วยอะไรในบ้านเลย แต่พี่ชายแกอยู่ดูแลเราตลอด ซ่อมบ้าน จัดงานบุญ ดูแลแม่เวลาเจ็บป่วย แกคิดว่านั่นไม่สำคัญหรือไง?"
- พินัยกรรมทำช็อก แม่เฒ่ายกมรดกให้ "ลูกเขยปรสิต" เงินไม่ใช่น้อยๆ รู้เหตุผลลูกในไส้หน้าชา
- ลูกสาวน้อยใจ ดูแลแม่จนวันตาย ได้แค่สมุดบัญชี ยกบ้านให้ลูกชาย แต่รู้ยอดเงินช็อกตาโต
ผมเงียบ เพราะรู้ว่าพ่อพูดไม่ผิด… แต่ผมก็ไม่ได้ทอดทิ้งเสมอไป ทุกครั้งที่พ่อแม่ไม่สบาย ผมก็โอนเงินค่ารักษา ส่งยา ส่งของ และทุกเดือนก็ให้เงินใช้จ่าย แต่เพราะผมอยู่ไกล ทุกอย่างจึงผ่านบัญชีพี่ชาย ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครพูดถึง
ผมหันไปมองพี่ชายคนกลางแล้วถามว่า "แล้วพี่ล่ะ คิดยังไง?" พี่ชายตอบเพียงเบาๆ ว่า "พ่อแม่ว่าไง ก็ว่าอย่างนั้น ได้อะไรก็รับไว้ ไม่ขอค้าน" ประโยคนั้นเหมือนตอกย้ำว่าผมคือคนที่โลภ ทั้งที่ผมเพียงต้องการความยุติธรรม
คืนนั้นผมนอนในห้องเก่าของตัวเอง ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องเก็บของ ผมนอนมองเพดานเก่า ฟังเสียงจิ้งหรีดในสวน และรู้สึกว่าใจตัวเองกลวงโบ๋ กระทั่งเช้าตรู่แม่จึงเข้ามาหา วางมือลงบนไหล่ผมแล้วพูดเบาๆ "แม่รู้ว่าเสียใจ แต่แม่เหนื่อยแล้ว แม่ขอแค่อย่าโกรธพ่อแม่ อย่าเกลียดพี่ชายเลย แต่ละคนมีชีวิตของตัวเอง อย่าให้เรื่องที่ดินทำให้พี่น้องแตกกัน"
ผมยิ้มบางๆ ไม่ได้โกรธ… แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดี ความรู้สึกในใจนั้น มันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ และมีแต่ความทรงจำว่าแม้จะเป็นลูกเหมือนกัน แต่พ่อแม่ก็เลือกจะรักไม่เท่ากัน
แม้เขาจะไม่ได้โกรธเคืองพ่อแม่อย่างที่แม่ขอไว้ แต่ความรู้สึกเจ็บลึกและผิดหวังกลับฝังแน่นในใจอย่างยากจะลืม การกลับบ้านครั้งนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า ไม่ใช่ทุกความรักจะถูกมองเห็น ไม่ใช่ทุกความหวังจะสมดั่งใจ และไม่ใช่ทุกคนในครอบครัวจะได้รับ "ส่วนแบ่ง" เท่ากันเสมอ ทั้งในทรัพย์สิน…และในหัวใจ
ท้ายที่สุด คงไม่มีใครตัดสินได้ว่าใครผิดหรือถูกในเรื่องนี้ เพราะในทุกครอบครัว ล้วนมีมุมมอง มีเหตุผล และ "ความรัก" ในแบบของตัวเอง บางครั้ง ความใกล้ชิดก็แปลว่ามีคุณค่ามากกว่า บางครั้ง ความห่างไกลก็ทำให้ความหวังดีถูกมองข้ามไป เรื่องราวนี้จึงไม่ได้มีคำตอบชัดเจน