‘สุดารัตน์’ เอาใจช่วยทีมไทยแลนด์ เจรจารักษาผลประโยชน์ประเทศ
เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 19 ก.ค. ที่ตลาดนัดจตุจักร กทม. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงภาษีทรัมป์ ว่า วาระเศรษฐกิจย่ำแย่มาก รายรับไม่พอรายจ่าย เราจะเห็นว่าหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ พ่อค้าแม่ขายเป็นหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน เท่ากับ 240 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เห็นนโยบายของกระทรวงการคลังจะตั้งกองทุนมาซื้อหนี้ ปัจจุบันพูดมาจะปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า และส่วนที่มีการโยกงบ 157,000 ล้าน ที่โยกจากงบดิจิทัลวอลเล็ต ลงไปที่งบก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งเป็นงบเงินทอน จึงตั้งคำถามว่าทำแบบนี้เศรษฐกิจไม่หมุน เพราะเป็นเงินทอนด่วน หรือให้ใคร ซึ่งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ก็บอกแล้วว่าจะถูกหัก 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างต่ำ ดังนั้นถ้าเอางบทั้งหมดไปลงกับงบก่อสร้าง ก็จะได้เงินทอนทั้งหมดเกือบ 50,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มีประโยชน์กับประชาชน
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า ตนจึงบอกว่าให้แบ่งมาสัก 50,000 ล้าน มาตั้งเครดิตกองทุนประชาชนให้กู้ดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เครดิตนี้จะอยู่กับประชาชนตลอดไป ปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการเรื่องใดเลยที่เกี่ยวกับปากท้อง ปัญหาค่าครองชีพที่แพงขึ้น รัฐบาลก็คุมไม่ได้ รายได้ไม่พอรายจ่าย และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ประชาชนมีกำลังในการใช้สอย เรายังไม่เห็นอะไรเลย
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องภาษีทรัมป์ ตนมองว่าแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่ม 1 คือกลุ่มอเมริกามาลงทุนเอง กลุ่มที่ 2 คือสินค้าต่างชาติมาสวมสิทธิ แต่กลุ่มที่ 3 คือเรื่องของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเอสเอ็มอี ที่จำเป็นจะต้องลดเรื่องของภาษีสินค้าหมวดการเกษตร ตนจึงอยากให้รัฐบาลดูให้ดี บางหมวดเราผลิตไม่พอ เรานำเข้าจากต่างประเทศ นำเข้าจากสหรัฐมาแทนได้ แต่บางหมวดเราผลิตใช้อยู่ ต้นทุนเราอาจจะแพงกว่าแต่มันคือชีวิต เช่น เรื่องหมู ส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายเล็ก ต้นทุนหมูเราแพงกว่าหมูที่นำเข้าจากอเมริกาแน่
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวย้ำว่า แต่ถ้านำเข้ามา คนไทยได้กินหมูถูกแต่อาจจะมีสารเคมีปนเปื้อน หากนำเข้ามาจะกระทบเรื่องสุขภาพ ผู้ประกอบการ รัฐบาลเตรียมการอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงความห่วงใย ซึ่งทั้งห่วงใยและเอาใจช่วยให้รัฐบาลโดยเฉพาะทีมไทยแลนด์ ได้ใช้ความพยายามความสามารถในการเจรจา และรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยไว้ด้วย พร้อมกับหาตลาดใหม่ ๆ ให้กับคนไทย เช่น ตลาดอินโดนีเซีย ตลาดอเมริกาใต้ ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่ แต่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของรัฐบาล