รู้จักเชื้อ "เอชไพโลไร" ตี๋หุ่นแซ่บโอดได้ของแถม หลังจูบ เจ๊หง
รู้จักเชื้อ "เอชไพโลไร" เชื้อร้ายในเงามืด มันนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง? หลังหนุ่มตี๋หุ่นแซ่บโอดได้ของแถม หลังฟิวแฟน จูบ เจ๊หง
เมื่อไม่นานมานี้ แพลตฟอร์มโซเชียลของจีนมีเรื่องร้อนให้วิจารณ์กันสนั่น เมื่อ หนุ่มจีน โค้ชฟิตเนส หน้าตาดีคนหนึ่ง ออกมาโพสต์ด้วยความคับแค้นใจว่า "ผมเพิ่งรู้ว่าติดเชื้อ Helicobacter pylori (เอชไพโลไร) หลังจากจูบกับ เจ๊หง"
ชายวัย 38 ที่แต่งตัวเป็นหญิงและชวนผู้ชายมามีเพศสัมพันธ์ที่ห้องนับพันคน พร้อมบันทึกคลิปเอาไว้
เรื่องนี้กลายเป็นไวรัลในจีน และพาให้คนมากมายหันมาสนใจเชื้อชื่อ "เอชไพโลไร" กันมากขึ้น บางคนสงสัยว่า "เชื้อนี้ติดกันผ่านจูบได้ด้วยหรอ?" "เชื้อนี้อันตรายแค่ไหน?" และที่สำคัญ "แล้วจะป้องกันตัวเองได้ยังไง?"
เอชไพโลไรคืออะไร รู้จักเชื้อร้ายในกระเพาะ
เอชไพโลไร Helicobacter pylori (H. pylori) คือเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหารของมนุษย์ มันสามารถอยู่ได้นานและทนต่อกรดในกระเพาะได้อย่างน่าทึ่ง โดยการสร้างเอนไซม์ยูรีเอส (urease) ที่ช่วยลดความเป็นกรดรอบตัวมัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณว่า ผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 50% อาจเคยติดเชื้อเอชไพโลไร โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากบางรายไม่มีอาการเลย
เอชไพโลไรเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?
แม้เชื้อจะอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นหลัก แต่มันสามารถแพร่ผ่าน "ปากถึงปาก" ได้จริง เช่น
• การจูบ
• การใช้ช้อนหรือแก้วน้ำร่วมกัน
• การกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
• สุขอนามัยที่ไม่ดี เช่น ล้างมือไม่สะอาด
นั่นหมายความว่า ความใกล้ชิดทางกาย โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ส่วนตัว อาจเป็นช่องทางสำคัญของการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
อาการเมื่อติดเชื้อเอชไพโลไร
ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อจะมีอาการทันที บางคนอาจอยู่กับเชื้อได้นานเป็นปีโดยไม่รู้ตัว แต่ในบางราย เชื้อจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ เช่น
• ปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่
• คลื่นไส้หรืออาเจียน
• ท้องอืด แน่นท้องหลังอาหาร
• เบื่ออาหาร
• น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
• อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ (กรณีเป็นแผลรุนแรง)
หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรทันที
เชื้อร้ายในเงามืด มันนำไปสู่โรคอะไรได้บ้าง?
H. pylori ไม่ใช่แค่เชื้อทั่วไป แต่มันคือหนึ่งใน "ปัจจัยเสี่ยงหลักของมะเร็งกระเพาะอาหาร" และยังนำพาไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่
1. แผลในกระเพาะอาหาร
2. แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น
3. โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง
4. มะเร็งกระเพาะอาหาร – WHO จัดให้ H. pylori เป็น สารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1
5. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MALT lymphoma
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่เชื่อมโยงเชื้อนี้กับโรคอื่น เช่น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และโรคเกล็ดเลือดต่ำ (ITP)
รู้ได้อย่างไรว่าเราติดเชื้อ?
แพทย์สามารถตรวจหา H. pylori ได้หลายวิธี เช่น:
• การตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test) – แม่นยำ ไม่เจ็บตัว
• การตรวจอุจจาระหาเชื้อ
• การส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อในกระเพาะมาตรวจ
ถ้าติดแล้วรักษาอย่างไร?
แนวทางการรักษาคือ การใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรดในกระเพาะ โดยทั่วไปแพทย์จะสั่งยาต่อเนื่อง 10–14 วัน เช่น
• ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิด (เช่น clarithromycin + amoxicillin)
• ยาลดกรด (เช่น omeprazole หรือ lansoprazole)
• บางรายอาจใช้ยาระงับการสร้างกรดร่วมด้วย
ต้องกินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะเชื้อเอชไพโลไรมีแนวโน้มดื้อยาได้สูง หากรักษาไม่ครบหรือไม่ถูกวิธี
จูบเดียวอาจเปลี่ยนชีวิต แล้วจะป้องกันยังไงดี?
1. หมั่นรักษาความสะอาด
• ล้างมือให้สะอาด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
• หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์กินอาหารร่วมกับผู้อื่น
2. ระวังความเสี่ยงจากอาหาร
• หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบหรือไม่สะอาด
• ดื่มน้ำที่สะอาด ผ่านการกรองหรือต้ม
3. เช็คสุขภาพเป็นประจำ
• หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ควรตรวจหาเชื้อ
• หากคนใกล้ตัวติดเชื้อ ควรตรวจด้วย แม้ไม่มีอาการ
4. ความใกล้ชิดทางร่างกาย
• ถึงแม้การจูบจะไม่ใช่สาเหตุหลักของการติดเชื้อในทุกกรณี แต่ในบางรายอาจเป็นช่องทางการแพร่เชื้อได้
• หากคู่รักคนใดมีอาการของโรคกระเพาะเรื้อรัง ควรตรวจหาเชื้อก่อน
เชื้อ H. pylori คือปัญหาสาธารณสุขที่ใหญ่กว่าที่คนทั่วไปคิด มันอาจอยู่ในตัวคุณโดยไม่รู้ตัว และรอเวลาทำลายเยื่อบุกระเพาะของคุณอย่างช้าๆ เราทุกคนมีสิทธิ์ป้องกันตนเอง และเมื่อมีความรัก ความใกล้ชิด หรือแม้แต่การอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ความระมัดระวังด้านสุขอนามัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ
แหล่งอ้างอิง
• World Health Organization (WHO). “Helicobacter pylori.”
• Centers for Disease Control and Prevention (CDC). “Helicobacter pylori and Peptic Ulcer Disease.”
• Mayo Clinic. “H. pylori infection – Symptoms and causes.”
• NIH – National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases (NIDDK)