One Big Beautiful Bill รัฐบาลทรัมป์ จ่อหั่นงบอุทยานแห่งชาติสหรัฐฯ
วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ลงมติผ่านร่างกฎหมายปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายครั้งใหญ่ที่เสนอโดย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนน 51 ต่อ 50 โดยเสียงชี้ขาดมาจากรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ซึ่งลงคะแนนในฐานะประธานวุฒิสภา
การพิจารณาร่างกฎหมายใช้เวลายาวนานต่อเนื่องข้ามวัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน ถึงวันอังคารที่ 1 กรกฎาคม ในกระบวนการที่เรียกว่า “vote-a-rama” เนื่องจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งประเมินว่าอาจเพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์หากร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้ วุฒิสมาชิกรีพับลิกัน 3 คนที่โหวตไม่เห็นด้วย ได้แก่ ซูซาน คอลลินส์, ทอม ทิลลิส และแรนด์ พอล
แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งเป้าให้ร่างกฎหมาย “One Big Beautiful Bill” ผ่านสภาคองเกรสภายในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันชาติของสหรัฐฯ แต่ร่างฉบับนี้ยังเผชิญเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย เนื่องจากกังวลว่าจะกระทบเสถียรภาพทางการคลังอย่างรุนแรง ทั้งในแง่การขาดดุลงบประมาณและการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับสูงถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาและลงมติในขั้นตอนสุดท้าย
ระหว่างการเรียกคืนงบประมาณจากกฎหมาย Inflation Reduction Act ที่เดิมตั้งไว้เพื่อรับมือวิกฤตภูมิอากาศ การเสนอให้ตัดงบเพิ่มเติมสำหรับหน่วยงานอุทยานแห่งชาติที่มีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพออยู่แล้ว การเร่งเปิดพื้นที่สาธารณะให้เช่าพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซ และการอนุมัติให้ขายพื้นที่สาธารณะในรัฐยูทาห์และเนวาดา ร่างกฎหมายนี้จะเปลี่ยนโฉมระบบอุทยานแห่งชาติสหรัฐ
โจมตีการจ้างงานของเจ้าหน้าที่อุทยานและการลงทุนด้านภูมิอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ร่างกฎหมายนี้ตัดงบทั้งหมดที่เหลืออยู่จากกฎหมาย Inflation Reduction Act สำหรับหน่วยงานอุทยานแห่งชาติ ราว 267 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีไว้เพื่อสนับสนุนความต้องการด้านบุคลากรที่สำคัญในอุทยาน
งบประมาณเหล่านี้อยู่ในความเสี่ยงสูง เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์เคยเพิกถอนข้อเสนองานและก่อให้เกิดความวุ่นวายด้านบุคลากรภายใน 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง หน่วยงานอุทยานได้แสดงให้เห็นผ่านโครงการต่าง ๆ
ภายใต้กฎหมาย Inflation Reduction Act ซึ่งเน้นผลกระทบและแนวทางแก้ปัญหาเฉพาะพื้นที่ ว่าการลงทุนที่มีเป้าหมายและการทำงานอย่างทุ่มเทของบุคลากรภาครัฐสามารถเปลี่ยนงบประวัติศาสตร์ให้เป็นการปรับปรุงที่ยั่งยืนและเห็นผลจริง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่ประชาชนนับล้านเดินทางมาเยี่ยมชม
ร่างกฎหมายนี้เตรียมตัดงบประมาณที่จำเป็นสำหรับบุคลากรอุทยาน การเรียกคืนเงินที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานของอุทยานแห่งชาติ ในขณะที่เผชิญกับภาวะขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรอยู่แล้ว ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่มีผู้เยี่ยมชมหนาแน่นที่สุด
นับตั้งแต่เดือนมกราคม รัฐบาลทรัมป์ได้ลดจำนวนเจ้าหน้าที่อุทยานลง 13% การลดเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างทุ่มเทและเป็นที่เคารพยกย่องของประเทศลงอีก จะส่งผลกระทบต่ออุทยานแห่งชาติในรูปแบบที่ไม่อาจย้อนคืนได้ ทั้งสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นต่อ ๆ ไป
ขณะที่อุทยานได้รับความนิยมและมีผู้เยี่ยมชมมากกว่าที่เคย มีผู้เยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติ สมรภูมิ และแหล่งประวัติศาสตร์รวม 332 ล้านคนในปี 2024 โดยผู้เยี่ยมชมจำนวนมากยังเดินป่า ตกปลา และตั้งแคมป์ในที่ดินสาธารณะอื่น ๆ ระหว่างการเดินทางด้วย
งบประมาณจาก Inflation Reduction Act ยังจำเป็นต่อโครงการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ตั้งแต่การฟื้นฟูระบบนิเวศในอุทยานแห่งชาติซากัวโร ไปจนถึงการจัดการยุงรุกรานในอุทยานแห่งชาติฮาเลอาคาลา การตัดงบนี้ถือเป็นการตอกย้ำการกระทำที่เลวร้ายของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลให้สถาบันที่มีประวัติศาสตร์ 100 ปีถูกทำลายลง
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียงบประมาณ ล้วนเป็นภัยต่อความมั่นคงและการดำเนินงานของอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่หนาแน่น ด้วยนักท่องหลายร้อยล้านคนที่จะเดินทางมายังอุทยานและส่งผลต่อธุรกิจรอบข้าง
ขายที่ดินสาธารณะในยูทาห์และเนวาดา
คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติของสภาผู้แทนฯ ได้ผลักดันบทแก้ไขที่อาจนำไปสู่การขายที่ดินสาธารณะหลายพันเอเคอร์ในรัฐยูทาห์และเนวาดา
ร่างกฎหมายฉบับนี้รวมถึงแปลงที่ดินที่อยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติไซออนในรัฐยูทาห์ การเปิดพื้นที่นี้ให้พัฒนาอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรและประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในอุทยาน ซึ่งต้อนรับผู้มาเยือนนับล้านคนต่อปี
เร่งเปิดพื้นที่ใกล้อุทยานให้ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ
ร่างกฎหมายนี้เสนอให้เพิ่มการให้เช่าพื้นที่เพื่อขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ ซึ่งจะทำให้อุทยานใกล้เคียงตกอยู่ในความเสี่ยง สำหรับผู้ที่รักทัศนียภาพที่ไม่ถูกรบกวนและป่าหรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่สงบเงียบ การขุดเจาะภายในหรือใกล้อุทยานจะเปลี่ยนประสบการณ์ในอุทยานอย่างสิ้นเชิง นอกจากท้องฟ้าที่มัวหมองและมลพิษทางอากาศแล้ว การสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลยังทำลายท้องฟ้ายามค่ำด้วยแสงจากภาคอุตสาหกรรม และอาจกระทบความปลอดภัยในอุทยาน
กิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 887,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมากกว่าภาคน้ำมันและก๊าซอย่างมาก แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้กลับเสนอความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซจะมีอิทธิพลเหนือการบริหารจัดการที่ดินสาธารณะ มากกว่าชุมชนและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
คุกคาม Gates of the Arctic และ Boundary Waters
ร่างกฎหมายนี้ยังเป็นภัยต่อภูมิทัศน์อุทยานสองแห่ง ได้แก่ Gates of the Arctic National Preserve และ Boundary Waters Canoe Area Wilderness หากผ่านร่างกฎหมายนี้ จะบังคับให้อนุมัติโครงการสร้างถนนเหมืองแร่ Ambler ซึ่งจะทำลายภูมิประเทศอุทยานที่ไม่มีถนนและยังคงสมบูรณ์มากที่สุดในสหรัฐฯ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐอะแลสกา
จากการเคลื่อนไหวของชนพื้นเมืองอะแลสกา กลุ่มอนุรักษ์อย่าง NPCA และพันธมิตรที่หลากหลาย ถนนเหมืองแร่ Ambler ถูกคว่ำมาแล้วสองครั้งในปี 2024 การก่อสร้างถนนนี้ไม่เพียงกระทบอุทยาน Gates of the Arctic เท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนพื้นเมือง น้ำสะอาด และการอพยพของสัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ใกล้อุทยานแห่งชาติ Voyageurs พื้นที่ Boundary Waters คือเขตอนุรักษ์ถิ่นทุรกันดารขนาด 1.1 ล้านเอเคอร์ ร่างกฎหมายปรองดองจะเพิกถอนการคุ้มครองที่มีอยู่เพื่อเปิดทางให้ทำเหมืองทองแดง ซึ่งเสี่ยงต่อทั้งลุ่มน้ำทั้งหมด มลพิษจากจุดที่ห่างออกไปถึง 100 ไมล์ อาจไหลลงสู่แหล่งน้ำในอุทยานแห่งชาติ กระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสัตว์ป่า
อย่างไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติได้รับความนิยม หากมองในแง่เศรษฐกิจ สถานที่เหล่านี้สร้างรายได้ 55,000 ล้านดอลลาร์แก่เศรษฐกิจระดับชาติและท้องถิ่น อุทยานและที่ดินสาธารณะของคนจำนวนมาก และยังเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจขนาดเล็กและเศรษฐกิจประเทศ
ข้อมูล
- npca.org