นักวิชาการ มธ. ชี้ ‘ทักษะ-ต้นทุน’ แรงงานศรีลังกา ไม่ตรงความต้องการนายจ้าง
ศ. ดร.พงษ์เทพ สันติกุล อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การนำเข้าแรงงานสัญชาติศรีลังกาตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 เพื่อทดแทนแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับภูมิลำเนาจากเหตุความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น คงไม่สามารถทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ หนำซ้ำยังมีความเสี่ยงที่แรงงานศรีลังกาจะเข้ามาแย่งงานแรงงานไทยในตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ด้วย นั่นเพราะแรงงานศรีลังกามีความถนัดงานบริการ โรงแรม และงานดูแลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นสาขางานที่คนไทยยังคงทำงานอยู่ แตกต่างจากแรงงานกัมพูชาที่เป็นแรงงานกึ่งฝีมือและไร้ฝีมือ เช่น ก่อสร้าง งานบริการ งานประมง ตลาดแรงงานเกษตรกรรม ฯลฯ ซึ่งเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำ
“แรงงานศรีลังกาไม่สามารถทดแทนแรงงานกัมพูชาได้อย่างสมบูรณ์ และอาจไม่ตรงตามความต้องการของนายจ้าง ทั้งในเชิงทักษะความถนัด และต้นทุนที่สูงกว่าแรงงานกัมพูชา” ศ.ดร.พงษ์เทพ กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาระยะสั้นว่า ควรใช้ประโยชน์จากแรงงานกัมพูชาที่ยังอยู่ในไทยและมีความต้องการทำงานต่อ รวมถึงการดึงแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศไปแล้ว แต่ต้องการกลับเข้ามาทำงานใหม่ โดยอาจต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป นอกจากนี้ยังมีแรงงานผิดกฎหมายที่อยู่นอกระบบและยังอาศัยอยู่ในไทยโดยไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานและกระทรวงมหาดไทย (มท.) ในการติดตามและนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพิงแรงงานจากสามประเทศหลัก คือ เมียนมา ลาว และกัมพูชา มากเกินไป เมื่อเกิดความขัดแย้งกับกัมพูชาทำให้ไทยสูญเสียแรงงานเป็นจำนวนมาก ภาครัฐจึงมีความพยายามจะสร้างความสมดุลโดยกระจายการนำเข้าแรงงานจากประเทศอื่นๆ ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำกว่า ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักที่จะทำได้ เพราะหากพิจารณาประเทศอื่น อาทิ แรงงานจากฟิลิปปินส์ ซึ่งมีทักษะใกล้เคียงกับไทย จึงนิยมไปทำงานในประเทศยุโรปซึ่งมีความเจริญและให้ค่าตอบแทนสูงกว่าไทย ดังนั้นความพยายามในการเริ่มต้นนำแรงงานศรีลังกาจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตรงกับเงื่อนไขบางส่วนเท่านั้น
สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว ควรนำเทคโนโลยีมาพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้แรงงานต่างด้าว ในประเภทงานที่คนไทยไม่นิยมทำ แม้ประเด็นนี้จะมีการพูดถึงมานานแต่นำไปสู่การปฏิบัติน้อยมาก จะเห็นได้จากการที่ไทยพึ่งพิงแรงงานต่างด้าวมากขึ้น โดยมีการออกกฎหมายและมาตรการเพื่อแก้ปัญหา รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกให้เกิดการนำเข้าและต่ออายุแรงงานต่างด้าวอย่างต่อเนื่อง
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในการจัดระเบียบการดูแลแรงงานต่างด้าว รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน ควบคู่ไปกับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization: ILO) และมีอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศที่คุ้มครองสวัสดิภาพของแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งยังให้สัตยาบันต่ออนุสัญญา Protocol of 2014 to the Forced Labor Convention ซึ่งเป็นข้อกำหนดการบังคับใช้แรงงานทุกประเทศ
ทั้งนี้ หากการดำเนินการให้เป็นไปตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัดก็น่าจะพอเพียงกับการดูแลการจ้างแรงงานต่างด้าวให้มีสวัสดิภาพตามสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน แต่ที่ผ่านมาไทยเคยถูกลดทอนความน่าเชื่อถือทางสิทธิมนุษยชนและการบังคับใช้แรงงาน ตั้งแต่เรื่องประมงที่จ้างแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ต้นทุนราคาถูก รัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายให้มีความเคร่งครัดกว่าเดิม เพื่อป้องกันโอกาสในการทุจริต
“จุดแข็งในความเห็นของผมประเทศไทยมีกฎระเบียบและกฎหมายมากพอที่จะบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่ต้องเข้มงวดในการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งความเข้มงวดในการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเดินทางเข้ามาทำงานทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย” ศ. ดร.พงษ์เทพ กล่าว
ศ. ดร.พงษ์เทพ กล่าวว่า การเข้มงวดในการจ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อป้องกันการบังคับใช้แรงงานและแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายก็เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่รัฐควรให้ความสำคัญ รวมถึงการให้ความเสมอภาคโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวทุกชาติ จะเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว แต่ในปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาอาจทำให้แรงงานกัมพูชามีปัญหากับแรงงานไทยหรือคนไทยได้ รัฐอาจต้องให้การดูแลและสร้างความเข้าใจกับสาธารณะเป็นพิเศษ รวมถึงการดำเนินการให้สิทธิของแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวมีความเท่าเทียมกันอย่างต่อเนื่อง