‘เศรษฐกิจจีน’ อ่อนแอลงทุกด้าน สัญญาณเตือน 'ภาวะถดถอย'
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “เศรษฐกิจจีน” เดือนก.ค.กำลังชะลอตัวลงในทุกด้านหลังจากที่เคยแสดงความแข็งแกร่งในช่วงต้นปี โดยกิจกรรมโรงงานและยอดขายปลีกน่าผิดหวัง แสดงให้เห็นว่า “สงครามการค้า” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนแล้ว
โฮมิน ลี นักวิเคราะห์จากบริษัท Lombard Odier ระบุว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในเดือนก.ค. แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศกำลังเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” ที่เป็นผลมาจากมาตรการภาษีนำเข้า โดยตัวเลขบ่งชี้ถึงการชะลอตัวทั้ง อุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลจีนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินในช่วงกลางปีเพื่อรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ท่าทีของผู้นำระดับสูงส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจตามที่ได้วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมหากจำเป็น
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ระบุในแถลงการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนยังคงมีความยืดหยุ่นและค่อนข้างแข็งแกร่ง สามารถเอาชนะปัจจัยลบต่างๆ เช่น สถานการณ์ภายนอกที่ซับซ้อนและสภาพอากาศที่รุนแรง
‘เศรษฐกิจจีน’ ชะลอตัวเกินคาด
ข้อมูลจาก NBS ที่เผยแพร่วันนี้ (15 ส.ค.) บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยมีตัวเลขสำคัญหลายด้านที่สะท้อนถึงความท้าทาย
- การผลิตของโรงงานและเหมืองแร่ขยายตัวเพียง 5.7% ในเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีก่อน และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 6% อย่างมาก
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ชะลอตัวเช่นกัน โดยยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 3.7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในปีนี้
- การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรชะลอตัวลงเหลือ 1.6% ในช่วง 7 เดือนแรกของปี ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงถึง 12%
- กิจกรรมทางอุตสาหกรรมและการก่อสร้างหยุดชะงักจากผลกระทบจากสภาพอากาศในเดือน ก.ค. อุณหภูมิที่สูงผิดปกติ ฝนตกหนัก และน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากที่ปกติก็ซบเซาในช่วงเวลานี้อยู่แล้ว
- การเติบโตของสินเชื่อใหม่ในสกุลเงินหยวน หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความลังเลของทั้งภาคธุรกิจและประชาชนในการกู้ยืมและใช้จ่าย
- อัตราการว่างงานในเขตเมืองเพิ่มขึ้นเป็น 5.2% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
‘ส่งออก’ ยังเป็นแรงหนุนสำคัญ
อย่างไรก็ดี “การส่งออก” ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยประคองเศรษฐกิจในปีนี้ แม้ว่าการส่งออกไปยังสหรัฐจะลดลงจากมาตรการภาษีของทรัมป์ แต่การส่งออกโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง
ในทางกลับกัน แทนที่จะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ รัฐบาลกลับมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็กกล้า พลังงานแสงอาทิตย์ และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทในระยะยาว
รวมทั้ง รัฐบาลจีนกำลังพิจารณาแผนการต่างๆ ในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อต้องการลดการพึ่งพาความต้องการจากต่างประเทศในระยะยาว ซึ่งในสัปดาห์นี้จีนก็เพิ่งประกาศแผนการช่วยเหลือประชาชนเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายหลายด้าน เช่น เงินอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้, ยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษา และให้เงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูบุตรแก่ทุกครอบครัวทั่วประเทศ
อ้างอิง Bloomberg