6แบงก์ใหญ่ ‘ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ’ทั้งกระดาน 0.25% ช่วยลูกหนี้ ดันเศรษฐกิจผงกตัว!
หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปหมาดที่ 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยโดยรวมลงมาอยู่ที่ 1.50% จาก 1.75% ไปเมื่อ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา
ล่าสุดธนาคารพาณิชย์(กลุ่มแบงก์) ออกมาปรับ “ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้”ลงอย่างทันควัน โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว 6 แบงก์ใหญ่
นำร่องโดยธนาคารกรุงเทพ(BBL) ธนาคารกรุงไทย(KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB) ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) โดยปรับลดดอกเบี้ยลงในอัตราเดียวกันทุกกลุ่มลูกค้า ที่ 0.25%
ทั้งดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ,อัตราดอกเบี้ยสำหรับรายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้เบิกเงินงเงิน(MOR) และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อย(MRR)
ไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อทุกกลุ่มลง 0.25% โดย MLR ลงมาอยู่ที่ 6.50% และ MOR เป็น 6.75% ขณะที่ MRR มาอยู่ที่ 6.65%
โดยการปรับลดในครั้งนี้นอกจากให้สอดรับกับกนง. แล้ว ธนาคารกรุงเทพยังหวังว่า จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชนให้ลดลงด้วย เพื่อบรรเทาผลกระทบต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาจากมาตรการภาษีทรัมป์ และจากภาคการท่องเที่ยวที่ลดลง ตามการแข่งขันของภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น
“แบงก์กรุงเทพหวังว่าการลดดอกเบี้ยจะมีผลสองส่วนสำคัญ คือ ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับทุกกลุ่ม เพื่อช่วยทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบ และอีกด้านคือการช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้เราให้ลดลง ดังนั้นการช่วยเหลือลูกหนี้ครั้งนี้จึงไม่ได้จำกัดกลุ่ม แต่เป็นการลดทั้งกระดานที่มองว่าประสิทธิผลน่าจะมีมากกว่า เพราะครั้งนี้ถือว่าเจอความลำบากถ้วนหน้า ทั้งลูกหนี้เอสเอ็มอี และรายใหญ่ หรือรายย่อย”
แบงก์ถัดมาที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงคือ “ธนาคารกรุงไทย” ที่ 0.25% ทุกกลุ่มลูกค้า โดยหวังว่าจะช่วยประคองลูกค้าทุกกลุ่มฝ่าวิกฤต และปรับตัวรับระเบียบการค้าใหม่ของโลก และความท้าทายที่ซับซ้อนระยะข้างหน้า
“ผยง ศรีวณิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทย ตระหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในจุดที่เปราะบาง โดยเฉพาะผลกระทบจากกฎกติกาการค้าที่พลิกผันครั้งใหญ่ ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันในรูปแบบใหม่ในสายการผลิตของโลก จำเป็นต้องมีการปรับตัวและปฏิรูปภายในประเทศ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันใหม่ และแย่งชิงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิม
ซึ่งทุกประเทศต่างเร่งออกมาตรการเพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัว ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างจากเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง โดยรวมถือเป็น Perfect Storm ที่สร้างความท้าทายอย่างยิ่ง
ธนาคารจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงที่ 0.25% เพื่อช่วยลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัว ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข ลดภาระทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และ SME ประคองธุรกิจ และลูกค้า ประชาชนให้เดินหน้าต่อไปได้
โดยส่งผลให้ ดอกเบี้ย MOR ลดลงมาอยู่ที่ 6.620 % , MLR เป็น 6.500 % ต่อปี ขณะที่ MRR ปรับลดลงเหลือ 7.045 %
ด้านธนาคารกรุงศรีอยุธยา ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% เช่นกันโดยมีผลวันที่ 18 ส.ค. เป็นต้นไป เพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระของลูกค้าทั้งในภาคธุรกิจและรายย่อย
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าการลดดอกเบี้ย มีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ ลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง
ทั้งนี้ดอกเบี้ยของธนาคารหลังปรับลดดอกเบี้ยลงทุกกลุ่มจะอยู่ที่ โดย MLR อยู่ที่ 6.750% ,MOR เหลือ 6.725% และ MRR มาอยู่ที่ 6.870%
ด้านทีเอ็มบีธนชาต ลดดอกเบี้ยลงทุกกลุ่ม ที่ 0.25% โดยมีผลตั้งแต่ 15 ส.ค. 2568 เพื่อช่วยเพิ่มความผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและบรรเทาภาระลูกหนี้
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี พร้อมอยู่เคียงข้างและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกสถานการณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่สภาพเศรษฐกิจเปราะบางจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ
อาทิ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ผลพวงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มลดลง
อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่รายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวลง เพื่อเป็นการสอดรับกับมติ กนง. ที่ต้องการช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย กระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของลูกค้าและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้
ทีทีบี จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปีเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่รายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย MLR, MOR และ MRR โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568
ด้านจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของธนาคารที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง
โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังคงเผชิญภาระต้นทุนทางการเงินสูงท่ามกลางรายได้ที่ฟื้นตัวช้า
โดยล่าสุดธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทุกกลุ่ม โดย MLR มาอยู่ที่ 6.72% , MOR 6.69%
MRR เหลือ 6.78%
โดยธนาคารหวังว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่อง และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจและครัวเรือนเพื่อนำไปสู่ความมั่นคงของเศรษฐกิจระยะยาว
กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือน และภาวะการเงินที่ตึงตัวสูง ธนาคารจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR, MOR และ MRR ลง 0.25% เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า
และสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน โดย MLR มาอยู่ที่ 6.500% MOR 6.675% และMRR เป็น 6.775% ต่อปี