คดีร้อนล้มกระดานการเมือง
และไม่ใช่เพียงพ่อนายกรัฐมนตรี “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ที่ต้องลุ้นถูกเชือดจากทั้งคดี 112 และกรณีชั้น 14
แต่วันนี้วิบากกรรมกำลังรุกไล่ทุกฟากฝ่ายทางการเมือง โดยเฉพาะคดีที่หนักหนาสาหัสอย่าง “คดีฮั้ว สว.” ที่เป็นปฏิบัติการสางแค้นทางการเมืองระหว่างขั้วแดงกับน้ำเงิน ล่าสุด “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ได้ตั้งวงถกคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) รับทราบความคืบหน้าจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในคดีฟอกเงิน ฮั้ว สว.โดยเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. จนถึงปัจจุบัน
โดยดีเอสไอรายงานว่ามีการสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 90 ปาก และจากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วยสว.และสว.เกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด ดีเอสไอจึงเตรียมออกหมายเรียกผู้สมัคร สว.อีก 1,200 ราย เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในฐานะพยาน พร้อมมอบหน่วยงานภายในสังกัดรวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งจะมีการสอบลึกลงไปถึงการแต่งตั้งผู้ช่วย ผู้เชี่ยวชาญ และที่ปรึกษาประจำตัว ของ สว. 200 รายอีกด้วย
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาโต้กระแสข่าวที่ระบุว่า “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต. เคยระบุว่า ต้องใช้เวลาราว 8 เดือน ในการพิจารณาคดีทุจริตการเลือก สว.ปี 2567 นั้นอาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยยืนยันว่าเป็นเพียงการอธิบายขั้นตอนและกรอบเวลาตามกฎหมายของ กกต. เพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เวลาในทุกขั้นตอนจนถึงระยะเวลา 8 เดือน ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้กล่าวถึง กกต.ยังย้ำว่าไม่ได้อยู่ภายใต้แรงกดดันใดๆ และหากมีเหตุจำเป็นอันสมควร สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จเร็วกว่ากรอบเวลาที่กำหนดได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
อย่างไรก็ตามในซีกของ “กลุ่ม สว.อิสระ” ที่ได้ล่ารายชื่อ สว. 1 ใน 10 ของวุฒิสภา หรือ 20 คน เพื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ สว. 136 คนที่ต้องคดีฮั้ว หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไปไม่ถึงฝันเพราะมีคนขอถอนรายชื่ออ้างถูกปลอมลายเซ็นและเข้าใจในสาระสำคัญของคำร้องคลาดเคลื่อน จนต้องพยายามรวบรวมรายชื่อกันใหม่ แต่กลับมีผู้ขอถอนรายชื่ออีกเป็นรายที่ 4 คือ “ว่าที่ พ.ต. กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์” ซึ่งเจ้าตัวระบุว่าเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นการยื่นคำร้องเพื่อให้ สว.หยุดทำหน้าที่โหวตเลือกองค์กรอิสระเท่านั้น จากนี้จึงต้องจับตาว่ากลุ่ม สว.อิสระยังจะลุยไฟต่อกรกับ สว.ขั้วสีน้ำเงินที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาสูงหรือไม่
ด้าน “พรรคประชาชน” ซึ่งวันนี้จับมือเป็นฝ่ายค้านกับ “พรรคภูมิใจไทย” ก็ยังมีคดีสำคัญคือ 44 อดีต สส.พรรคก้าวไกลร่วมลงชื่อแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ขัดจริยธรรมหรือไม่ อยู่ในเงื้อมมือของ ป.ป.ช. ท่ามกลางกระแสข่าวการดีลระดับผู้นำทางจิตวิญญาณของทั้ง 2 พรรค ในช่วงที่ ป.ป.ช.กำลังผลัดใบและอำนาจเลือกกรรมการ ป.ป.ช.ขึ้นอยู่กับ สว.สีน้ำเงิน จึงเป็นเรื่องน่าคิดในการสงวนท่าทีไม่ร่วมลงชื่อในคำร้อง 136 สว. ของกลุ่ม “สว.พันธุ์ใหม่” หลายคนที่มีความใกล้ชิดกับพรรคส้มหรือไม่
ศึกการเมืองหลังจากนี้ต้องจับตาว่า “แดง-น้ำเงิน-ส้ม” ใครจะน็อกก่อนหรือ “นิติสงคราม” จะกลายเป็นสึนามิใหญ่ล้มกระดานการเมืองจนต้องเซ็ตซีโร่กันใหม่ทั้งหมด.