‘แดรี่ควีน’ เปิดนอกห้างแล้วขายดีกว่า! เน้นอยู่ใกล้ ‘7-Eleven’ เปิดให้ครบ 15 สาขาภายในปีนี้

ภาพการแข่งขันของตลาดอาหารและเครื่องดื่มดุเดือดมากกว่าครั้งไหนๆ แม้จะเป็นรายใหญ่ที่มีเชนร้านอาหารครอบคลุมทั้งประเทศก็ต้องหากลวิธีปรับตัวไปตามพฤติกรรมผู้บริโภค ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ไมเนอร์ ฟู้ด” ที่มีร้านอาหารในมือหลายสิบแบรนด์ มี “Hero Brand” เป็นที่รู้จัก อาทิ “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” (The Pizza Company) “สเวนเซ่นส์” (Swensen’s) รวมถึง “แดรี่ควีน” (Dairy Queen)ที่สร้างความฮือฮาในปีที่ผ่านมาด้วยการเปิดร้านโมเดลสแตนอโลน ขนาบข้างกับร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven)

“ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฉายภาพธุรกิจร้านอาหารในเครือให้ฟังว่า ปัจจุบัน “ไมเนอร์ ฟู้ด” มีจำนวนสาขารวมกันทั้งหมด 2,700 สาขา ตั้งเป้าอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2572 ต้องมี 4,500 สาขา

ลงลึกไปกว่านั้นพบว่า ในจำนวน 2,700 สาขา เป็นของแฟรนไชส์ไปแล้ว 1,300 สาขา และในปี 2572 ตั้งเป้าสาขาของแฟรนไชส์ต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 2,500 สาขา โดยจะผลักดันร้านแฟรนไชส์ให้กินสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง จาก 48% ในปัจจุบัน เป็น 56%

ในรอบปีที่ผ่านมา “ไมเนอร์ ฟู้ด” มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจหลายจังหวะ ทั้งการเข้าไปรุกตลาดต่างประเทศในอินโดนีเซียอย่างจริงจัง เปิดแบรนด์ใหม่“The Steak & More” ท้าชนตลาดสเต๊กแมสในประเทศ และการเพิ่มฟอร์แมทใหม่ๆ พาแบรนด์โต้คลื่นอีกน่านน้ำด้วยโมเดล “ร้านตู้” หรือ“Stanalone Modular Format” ที่ “ธันยเชษฐ์” บอกว่า ตั้งใจพาแดรี่ควีนเปิดนอกห้างด้วยโมเดลดังกล่าวให้ครบ 15 สาขาด้วย

ปัจจุบัน “แดรี่ควีน” มีอยู่ 530-540 สาขา แม้จะขายดีติดตลาดอยู่แล้วแต่ไอศกรีมคว่ำถ้วยเจ้าดังก็ไม่คิดหยุดนิ่ง ผุดร้านสแตนอโลนพาร์ทเนอร์ร่วมกับร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ใกล้เคียง เพราะผู้บริโภคยุคนี้ต้องการสินค้าในช่วงเวลา “Late Night” กินดึกมากขึ้น

โลเคชันในห้างสรรพสินค้าต้องเปิดปิดตามเวลาทำการ จึงเลือกขยับมาปั้นโมเดลใหม่นอกห้างแทน โดยหลังจากชิมลางมาได้ราวๆ ครึ่งปี พบว่า ร้านสแตนอโลนดันยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กินสัดส่วนเกือบๆ 20% ของรายได้ทั้งหมดของแดรี่ควีนประเทศไทย

-โมเดลร้าน Stanalone Modular Format ของแดรี่ควีน-

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น จึงทำให้ปีนี้ “แดรี่ควีน” ตั้งเป้าขยายสาขาด้วยโมเดลดังกล่าวให้ครบ 15 สาขา เชื่อว่า ต่อไปจะเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “ธันยเชษฐ์” บอกว่า สาเหตุที่เรียกว่า “Stanalone Modular Format” เป็นเพราะคอนเซปต์ร้านสามารถเคลื่อนย้าย-แยกส่วนได้ตรงตามตัวเลย

จะเห็นว่า ร้านมีลักษณะเป็นตู้สี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 40-50 ตารางเมตร เหมาะกับการทดลองชิมลางในทำเลใหม่ๆ หากไปแล้วไม่ตอบโจทย์ก็สามารถย้ายร้านได้โดยมีค่าใช้จ่ายในการโยกย้ายน้อยมาก ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ด้วย

รูปแบบการเปิดร้านสแตนอโลนจะจับมือร่วมกับพาร์ทเนอร์ร้านสะดวกซื้อในรูปแบบ “Collaboration” แวะมาซื้อที่ร้านสะดวกซื้อเสร็จแล้วก็แวะกินที่ร้านแดรี่ควีนต่อได้ สะดวกซื้อที่จะไปต้องมีพื้นที่ลานจอดรถเพียงพอ ซึ่งในปัจจุบันเจ้าของเริ่มมองเห็นอินไซต์มากขึ้นว่า ตอนนี้ลูกค้าต้องการพื้นที่จอดรถ ใครที่เคยทำร้านในรูปแบบตึกแถวหรือช้อปเฮ้าส์แบบเดิมก็จะเริ่มขยับมาเป็นร้านในลักษณะนี้แทน

-ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)-

สำหรับโลเคชันที่“แดรี่ควีน” เลือกไป เน้นพื้นที่ชุมชน โซนที่อยู่อาศัย หรือ “Residential Area” รวมถึงย่านมหาวิทยาลัย โซนหอพัก ก็ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน ผู้บริหารยืนยันว่า เมื่อเทียบเคียงกับโมเดลแบบเดิมร้านในลักษณะนี้สร้างยอดขายได้มากกว่า ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าแต่กลับมียอดขายที่ดี เป็นโมเดลที่ทางบริษัทแม่ของแดรี่ควีนในสหรัฐเองก็ชื่นชมจนนำไปเป็นกรณีศึกษาแนะนำให้กับผู้ประกอบการทั่วโลก

ปัจจุบัน“แดรี่ควีน” ร้านสแตนอโลน ยังเน้นขยายในพื้นที่กรุงเทพฯ และชานเมือง ลักษณะโลเคชันที่เลือกเป็นชุมชนที่มีกลุ่มลูกค้าแดรี่ควีน พื้นที่ที่ไปมาแล้ว อาทิ สาขาวัดพระเงิน สาขาอุดมสุข สาขาซอยตั้งสิน เป็นต้น ส่วนในอนาคตจะนำโมเดลนี้ไปใช้กับแบรนด์อื่นในเครือหรือไม่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและพิจารณาให้รอบด้าน สำคัญที่สุด คือต้องเข้ากับพฤติกรรมลูกค้า เชื่อว่า โมเดลนี้ตรงกับกลุ่มลูกค้าแดรี่ควีนจริงๆ