ข้าวโพด ถั่วเหลือง GMOs ปลดล็อกความกลัว ก้าวสู่โอกาสใหม่ไทย
เรื่องโดย จิตรา ศุภาพิชญ์ นักวิชาการด้านการเกษตร
ประชากรโลกเพิ่มขึ้นไม่หยุด สวนทางกับพื้นที่เพาะปลูกที่กลับลดลง จากการขยายตัวของเมืองและผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร
โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง รวมถึงฝ้าย ที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้ทนต่อโรค แมลง และสารกำจัดวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ประเทศต่างๆ จะใช้จีเอ็มโอกันอย่างกว้างขวาง แต่ไทยยังไม่มีนโยบายอนุญาตให้ผลิตเชิงพาณิชย์ ทว่าความจริงคือ วัตถุดิบจีเอ็มโอก็มีอยู่ในระบบอาหารของไทยมานานแล้ว ผ่านการนำเข้ามาใช้ ในหลายอุตสาหกรรม
กรมศุลกากร ให้ข้อมูลที่ชี้ชัดว่า ประเทศไทยนำเข้าวัตถุดิบจีเอ็มโอเกิน 8 ล้านตันต่อปี ส่วนใหญ่คือถั่วเหลือง ซึ่งเป็นวัตุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมหลายประเภท ส่วนกากถั่วเหลือง ยังเป็นแหล่งโปรตีนหลักในอาหารสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ อุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของระบบอาหารไทยและขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าปศุสัตว์
ความกังวลด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่มักถูกหยิบยกขึ้นมา มีหลักฐานวิทยาศาสตร์จากองค์กรระดับโลกยืนยันตรงกันว่า พืชจีเอ็มโอที่ผ่านการประเมินตามมาตรฐาน “ปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์”
นับจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า “อาหารดัดแปลงพันธุกรรมในท้องตลาดปัจจุบันผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแล้วและไม่น่าจะก่อความเสี่ยง” องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ก็มีระบบประเมินครอบคลุมทั้งพิษวิทยา โภชนาการ และการแพ้ ขณะที่ องค์การความปลอดภัยอาหารยุโรป (EFSA) ยืนยันว่า “สารพันธุกรรมในพืชจีเอ็มโอจะถูกย่อยหมดในระบบย่อยอาหาร ไม่ตกค้างในผลิตภัณฑ์จากสัตว์”
การนำเข้าจีเอ็มโอไม่เพียงตอบโจทย์เรื่องวัตถุดิบ แต่ยังช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ลง 10–15% เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และรักษาเสถียรภาพด้านราคา ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยให้มีความแข็งแกร่ง และผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น ไก่แช่แข็ง ก็สามารถครองตลาดสำคัญในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ จีเอ็มโอยังเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันถั่วเหลือง แป้งข้าวโพด หรือโปรตีนสกัด ที่เป็นส่วนประกอบหลักของโรงงานอาหารนับพันแห่งทั่วประเทศ
ตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา บราซิล และออสเตรเลีย ต่างใช้จีเอ็มโอในภาคเกษตรทั้งเพื่อบริโภคภายในและเพื่อการส่งออก โดยมีกระบวนการประเมินความปลอดภัยเข้มงวด ขณะที่สหภาพยุโรปแม้จะควบคุมการปลูกอย่างเข้ม แต่กลับเปิดเสรีให้นำเข้าจีเอ็มโอเพื่ออาหารสัตว์และการแปรรูป โดยอ้างอิงการตัดสินใจบน “หลักฐานทางวิทยาศาสตร์”
กว่าสองทศวรรษของงานวิจัยและการใช้งานจริง พิสูจน์แล้วว่า “พืชจีเอ็มโอที่ผ่านการตรวจสอบอย่างรัดกุมมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม” วันนี้ประเทศไทยจะต้องหันกลับมาพิจารณาเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง ในฐานะกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงทางอาหารและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ต้องเริ่มต้นปลดล็อกความกลัว แล้วก้าวสู่โอกาสใหม่ของไทยเสียที