โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Wearable Devices เทคโนโลยีอัจฉริยะกับโรคหัวใจและหลอดเลือด

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
ภาพไฮไลต์
  • โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก การตรวจพบเร็วโดยมีอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ หรือ Wearable Devices จะช่วยติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ความดัน และแจ้งเตือนความผิดปกติพร้อมส่งข้อมูลให้แพทย์ได้ทันที
  • อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่ใช้เซนเซอร์อย่าง PPG และ ECG แบบพกพา สามารถประมวลผลเพื่อให้ข้อมูลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง เข้าถึงง่าย ผ่านการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเพื่อวิเคราะห์สุขภาพ เช่น การนอน อัตราการเต้นของหัวใจ และความเสี่ยงโรคหัวใจ เป็นต้น
  • อนาคตอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมีแนวโน้มที่จะพัฒนาความแม่นยำยิ่งขึ้นด้วย AI และการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีเพื่อให้มีศักยภาพสูงในการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดมากยิ่งขึ้น

โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลต่อการไหลเวียนปริมาณเลือดไปเลี้ยงยังกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์สมอง สามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก โดยคาดว่าในปี 2030 คนในสหรัฐอเมริกา 23.6 ล้านคนจะมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งมักไม่มีอาการ หรืออาจยังไม่ถูกตรวจพบจนกว่าจะเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ดังนั้น การตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

บทบาทในการติดตามและป้องกันของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ

Wearable Devices หรืออุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ คือเทคโนโลยีที่ออกแบบมาให้สามารถสวมใส่บนร่างกายได้ เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ (smartwatches) เครื่องติดตามการออกกำลังกาย (fitness trackers) แว่นตาอัจฉริยะ (smart glasses) และอุปกรณ์ที่สวมใส่อื่นๆ ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลายเพื่อช่วยรายงานปัญหาและแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้กับผู้สวมใส่ เพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและดีต่อร่างกายในระยะยาว

บทบาทที่เห็นได้ชัดคือ ช่วงระบาดของ COVID-19 การรักษาระยะไกลเข้ามามีบทบาทอย่างมาก โดยแพทย์ได้มีการนำอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมาใช้เป็นอุปกรณ์ติดตามวัดค่าระดับการทำงานของระบบร่างกายผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดจะมีการใช้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเพื่อตรวจจับสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต หรือการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเต้นของหัวใจ ด้วยการรายงานระดับความผิดปกติในร่างกายของผู้ป่วยที่สวมใส่ไปยังศูนย์ให้บริการเพื่อให้ความช่วยเหลือและจ่ายยาได้ทันท่วงที เป็นต้น

ความสามารถในการค้นหาภาวะเสี่ยงของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ

การวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมายให้เข้ารับการตรวจเป็นประจำเพื่อประเมินความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiogram (ECG) โดยเครื่อง ECG (เครื่องที่ใช้ในการบันทึกคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ) วินิจฉัยและติดตามความผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation หรือ AF หรือ A-Fib) ซึ่งเป็นภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่พบได้บ่อย และนอกจากนี้เครื่อง ECG ยังใช้เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะหัวใจอื่นๆ ได้อีกด้วย

นาฬิกา Smart Watch เตือนหัวใจเต้นผิดปกติอย่างไร

แต่ด้วยปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจนสามารถพัฒนาเครื่องตรวจวัดอัตราชีพจรแบบสวมใส่ได้ ซึ่งความละเอียดแม้จะไม่เท่ากับเครื่อง ECG แบบ 12 ลีด แต่สามารถบอกความผิดปกติเบื้องต้นของปัญหาที่เกิดกับหัวใจของผู้สวมใส่ได้ โดยจะเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้ระบบถ่ายภาพอินฟราเรดใกล้ หรือ Photoplethys Mography (PPG) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณหลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง และให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงสามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือด เป็นต้น

ตัวอย่างอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่สามารถทำให้ผู้สวมใส่วัด ECG ได้ด้วยตนเองโดยตรงจากข้อมือและดูผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ได้ คือ นาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) ที่สามารถตรวจสอบกิจกรรมของหัวใจได้อย่างต่อเนื่องและเข้าถึงข้อมูลสุขภาพหัวใจได้สะดวกกว่าการตรวจ ECG แบบดั้งเดิม ส่งผลให้เกิดการป้องกันผ่านการแจ้งเตือนความผิดปกติของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ

สำหรับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังเครื่องติดตามสุขภาพแบบสวมใส่นั้นได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสมาร์ทวอทช์ อุปกรณ์การแพทย์พกพาหรือเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ล้วนใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันในการวัดระดับกิจกรรม เพื่อดูแลสุขภาพของผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการนอนหลับ อัตราการเต้นของหัวใจ และค่าอื่นๆ

โดยหลักแล้วอุปกรณ์สวมใส่จะประกอบด้วยเซนเซอร์หลายตัวที่ทำงานร่วมกันเพื่อตรวจจับความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งในแต่ละอุปกรณ์นั้นจะมีองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้

  • เซนเซอร์ (Sensors) ที่สามารถวัดข้อมูลต่างๆ เช่น วัดความดันโลหิต การเคลื่อนไหว อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิ โดยเซนเซอร์จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากร่างกายหรือสภาพแวดล้อมเพื่อนำไปแปลผลร่วมกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
  • การเชื่อมต่อ (Connectivity) อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมักเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่นๆ ผ่าน Bluetooth, Wi-Fi หรือเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออื่นๆ เพื่อถ่ายโอนข้อมูลและสามารถควบคุมจากระยะไกลได้
  • การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) เมื่อได้รับข้อมูลจากเซนเซอร์แล้ว อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะจะประมวลผลข้อมูลที่มีความหมายและเป็นประโยชน์ เช่น การคำนวณแคลอรีที่ใช้เมื่อออกกำลังกาย การวิเคราะห์การนอนหลับ หรือติดตามสถานะทางสุขภาพ เป็นต้น
  • การแสดงผล (Display) ข้อมูลที่ประมวลผลจะถูกแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น หน้าจอสัมผัสของสมาร์ทโฟนหรือนาฬิกาอัจฉริยะบางรุ่น

อุปสรรคและความท้าทายในการใช้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ

เป็นที่ทราบกันดีว่า อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ หรือ Wearable devices นั้นมีข้อจำกัดในการตรวจ ECG เมื่อเปรียบเทียบกับ ECG 12 ลีด ดังนี้

  • ข้อมูลจำกัด เนื่องจากอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเป็น ECG แบบลีดเดียว จึงให้ข้อมูลคลื่นไฟฟ้าหัวใจน้อยกว่า ECG แบบ 12 ลีด ซึ่งอาจตรวจไม่พบภาวะหัวใจบางอย่างที่ซับซ้อนหรือมีปัจจัยของโรคอื่นแทรกซ้อน
  • ความแม่นยำจำกัด ECG ของสมาร์ทวอทช์ใช้เซนเซอร์อิเล็กโทรดตัวเดียว อาจให้การวัดที่ไม่แม่นยำเท่ากับอิเล็กโทรดหลายตัวที่ใช้ใน ECG 12 ลีด ส่งผลให้ ECG ของเครื่องมือสวมใส่อาจไม่น่าเชื่อถือเท่ากับ ECG ทั่วไป
  • สัญญาณรบกวน สัญญาณที่ตรวจพบโดย ECG แบบลีดเดียวมีแนวโน้มที่จะพบสัญญาณรบกวนและสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการติดตาม ECG ได้
  • การวางตำแหน่งที่ถูกต้องของอุปกรณ์ ในอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะบางชนิด ผู้ใช้ควรสวมอุปกรณ์ในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อให้มั่นใจว่าการวัดจะแม่นยำ
  • ความวิตกกังวลของผู้สวมใส่ แม้เทคโนโลยีสวมใส่นี้จะมีประโยชน์ในการติดตามอาการของตัวเอง แต่การตรวจสอบอุปกรณ์หรือเปิดใช้ระบบบ่อยครั้งจนยึดติดหรือเชื่อมั่นในอุปกรณ์มากเกินไป จนเกิดความเครียดและวิตกกังวล อาจส่งผลต่อผู้ที่มีสุขภาพอ่อนไหวง่าย เช่น อาจทำให้ภาวะหัวใจเต้นพริ้วแย่ลงได้ เป็นต้น

แนวโน้มในอนาคตของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะในการจัดการโรคหัวใจและหลอดเลือด

ปัจจุบันปัญหาที่ผู้พัฒนากำลังเผชิญ คือ ความเข้าใจและความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อาจพบปัญหาด้านการใช้อุปกรณ์เพื่อคัดกรองภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงการดูแลและติดตามผลการรักษาในผู้ป่วย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มสูงอายุส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจมากกว่าหากได้พบแพทย์ รวมถึงรับการตรวจวินิจฉัย และรักษาโดยผู้เขี่ยวชาญแบบได้สัมผัสและพบหน้า

หากนาฬิกา Smart Watch เตือนหัวใจเต้นผิดปกติ ควรทำอย่างไร

ดังนั้นเมื่ออุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมีการตรวจพบภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ผิดปกติเบื้องต้นและแจ้งเตือนการประมวลผล ผู้สวมใส่ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ รวมถึงการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีที่มีการประมวลผลที่รวดเร็วเทียบเคียงได้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่อาจยังไม่แม่นยำเท่าเนื่องจากอยู่ในช่วงที่กำลังพัฒนา รวมถึงมีผู้ให้ความสนใจและนำมาใช้มากขึ้น การวิจัยที่เริ่มตีพิมพ์หลายฉบับเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมดังกล่าว รวมถึงบริษัทด้านเทคโนโลยีได้ทุ่มงบในการพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเพื่อปิดข้อบกพร่อง โดยในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนช่วยประมวลผลมากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะและได้ใช้เทคโนโลยีที่แม่นยำ รวดเร็ว จัดการและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพได้ในอนาคต

ข้อมูลโดย : นพ. จิรายุ เฮงรัศมี อายุรแพทย์ด้านโรคหัวใจโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : Wearable Devices เทคโนโลยีอัจฉริยะกับโรคหัวใจและหลอดเลือด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

ดูดวงรายวัน ประจำวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2568

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เจ้าของรถตกเหวที่พิษณุโลก เข้าพบตำรวจ ไม่เชื่อกระดูกในรถเป็นของสาวผู้เช่า

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"อว.แฟร์ 2025" ชวนเปิดประสบการณ์สร้างสรรค์ งานวิจัยไทยจับต้องได้ ใช้งานได้จริง

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

แม่ค้าปลาทูมาแก้บน "เจ้าแม่ตะเคียน" หลังรับทรัพย์ก้อนโต ยิ้มได้เลขเด็ดลุ้นโชคอีกงวด

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

สงคราม Anglo-Zanzibar อังกฤษทำ "สงครามสั้นที่สุดในโลก" รบกัน 38 นาที

ศิลปวัฒนธรรม

แกะรอยประติมากรรมรูปสตรี “พระศรีชัยราชเทวี” มเหสีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พบที่ปราสาทพิมาย

ศิลปวัฒนธรรม

เปิดเมนูอาหารชาววังเวียดนาม “จักรพรรดิราชวงศ์เหวียน” เมื่อ 100 กว่าปีก่อน เสวยอะไรบ้าง?

ศิลปวัฒนธรรม

คณะราชทูตสยามไปทำอะไรที่งาน Paris Expo 1867 มหกรรมยิ่งใหญ่ของโลก

ศิลปวัฒนธรรม

10 สิงหาคม วันกำนันผู้ใหญ่บ้าน ราษฎรเลือก "ผู้ใหญ่บ้าน" ครั้งแรกที่อยุธยา

ศิลปวัฒนธรรม

“กำจัด” สมุนไพรพื้นบ้านที่เผ็ดซ่าชาลิ้น แบบพริกหมาล่า

ศิลปวัฒนธรรม

ตำนาน "ซูสีไทเฮา" ฝึกกามายุทธ์ที่หอนางโลม ควบคุม "หูรูด" เรียนรู้ "กโลบายแสร้งโง่"

ศิลปวัฒนธรรม

เกร็ดความรู้องค์ประกอบ "เจดีย์ทรงระฆัง" บัลลังก์ ปล้องไฉน มาลัยเถา มีที่มาจากไหน

ศิลปวัฒนธรรม

ข่าวและบทความยอดนิยม

น้ำตาลทรายดีกว่าสารให้ความหวานจริงไหม แบบไหนทำลายสุขภาพมากกว่ากัน

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

ดูแลให้ถูกวิธี สมองดี ไม่มีเสื่อม

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

RAPID Software นวัตกรรมพลิกนาทีชีวิต ผู้ป่วย Stroke สมองขาดเลือด

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...