สรุปศึกชิงมรดก “เอ๋ ไพโรจน์” ลูกสาว-ภรรยา โต้กันหนังคนละม้วน
สรุปศึกชิงมรดก “เอ๋ ไพโรจน์” ลูกสาว-ภรรยา โต้กันหนังคนละม้วน เผยไม่ได้จดทะเบียน ไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สิน
เรียกได้ว่ากลายเป็นดราม่าร้อนขึ้นมาเลยทีเดียวหลังจากที่นักแสดงรุ่นใหญ่ “เอ่ ไพโรจน์” ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ทางด้านครอบครัวและคนสนิทต่างร่วมแสดงความไว้อาลัยอย่างมากมาย
ภายหลังได้มีหญิงสาวราย “เอ๋ พลอยรัชษ์” หนึ่งที่อ้างว่าเป็นภรรยาคนปัจจุบันของ “เอ๋ ไพโรจน์” ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์ สำนักงานอัยการสูงสุด โดยเธอเล่าว่า “เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ก่อนที่ “เอ๋ ไพโรจน์” จะเสียชีวิต ตนได้ออกจากบ้านไปต่างจังหวัด จนเมื่อวันที่รู้ข่าวว่าเสียชีวิต ตนเสียใจมากแต่ไม่มีโอกาสได้ไปรับศพเลย ไม่ได้เห็นใบมรณะบัตร
หลังจากนั้น 15 วัน “เบสท์ ปณิชา” ลูกสาวของ “เอ๋ ไพโรจน์” ได้ทักมาบอกว่าบ้านหลังที่ตนอยู่พ่อได้ขายโอนให้คนอื่นแล้ว และอย่าบอกใครเพราะคนอื่นจะมองพ่อไม่ดี ซึ่งบ้านหลังนั้นฝั่งลูกก็ไม่ได้มีสิทธิ์อะไร ถ้าตนอย่าได้อะไรให้ไปตรวจสอบเอง
อีกทั้ง “เบสท์” ยังถามด้วยว่าเมื่อไหร่จะออกจากบ้าน เพราะต้องเคลียร์หนี้สินของพ่อ และเมื่อตนกลับมาบ้านในวันที่ 1 กรกฎคม ก็พบว่าลูกบิดประตูเปลี่ยนไป มีแม่กุญแจมาล็อค จึงดำเนินการแจ้งความและจ้างช่างมาสะเดาะกุญแจ เมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่าของในบ้านหาย ถูกรื้อ พระที่บูชาหายไปราคานับล้านบาท จึงแจ้งความลงบันทึกประจำวัน
ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม ตนอยู่ในบ้านตามปกติ แต่จู่ ๆ มีตำรวจมาหาว่าตนบุกรุกบ้าน จึงทำให้ต้องออกจากบ้านและไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีกเลย”
นอกจากนี้ “เอ๋ พลอยรัชษ์” ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับสื่ออีกว่า “ตนไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่มีชื่อในทะเบียนตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 จนถึงปัจจุบัน ”
ซึ่งทีมข่าวช่อง 3 ได้ติดต่อหา “เบสท์” ฝั่งลูกสาวได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ในรายการ Club Friday พ่อเคยบอกว่าเลิกรากับภรรยาคนนี้แล้ว ซึ่งพยายามอ้างว่าเป็นภรรยาและมีสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่ในความเป็ยจริงไม่มีทะเบียนสมรส ไม่ใช่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงไม่มีสิทธิ์อะไร
จริง ๆ หลังจากงานศพตนได้เสนอเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายไปเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเป็นจำนวนไม่เยอะมากเพราะพ่อยังมีหนี้ แต่เขาอยากได้เยอะกว่านั้น
ส่วนเรื่องที่ตนไปเปลี่ยนลูกบิดประตู ก่อนหน้านี้มีของหาย ช่วงหลังจากเสร็จงานศพตนไปบ้านก็พบว่าฝั่งที่อ้างว่าเป็นภรรยาไม่อยู่ ของหายจึงให้ตำรวจมาดูและตัดสินใจล็อคบ้านเพราะกลัวของหายอีก หลังจากนั้นจึงไปลงบันทึกประจำวัน จนเขากลับมาบ้านก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมา”
งานนี้กลายเป็นว่าทั้งสองฝ่ายให้สัมภาษณ์ที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าเป็นหนังคนละม้วนเลยทีเดียว สุดท้ายแล้วบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องติดตามต่อไป
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews