สืบนครบาล ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 6 เครือข่าย รวบ 3 บอสชาวจีน พร้อมม้ากดเงินชาวไทย รวม 24 ราย
วันที่ 19 สิงหาคม 2568 เวลา 13.00 น. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.สุวัฒน์ แก้วเกิด, พ.ต.อ.ฤทธี ปานดำ รอง ผบก.สส.บช.น. พร้อมเจ้าหน้าที่สืบสวนนครบาลร่วมกันแถลงผลจับกุมแก๊งบัญชีม้ากดเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวม 6 เครือข่าย โดยศาลอาญาออกหมายจับ 44 หมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 24 ราย มีบอสชาวจีน 3 ราย
พล.ต.ต.โชติวัฒน์ฯ กล่าวว่า คดีแรกเจ้าหน้าที่ กก.สส.1 บก.สส.บช.น. จับกุมกลุ่มผู้ต้องหา 6 ราย ทั้งหมดสัญชาติไทย ซึ่งทำหน้าที่ ในลักษณะคอกม้าจัดการผลประโยชน์ที่ได้จากการกระทำความผิด และถอนเงินผ่านบัญชีของกลุ่มผู้ต้องหา โดยผู้มีผู้สั่งการชาวจีนทำหน้าที่ในการควบคุม และวางแผน ซึ่งมีการเช่ายานพาหนะหรู และย้ายที่พักอาศัยเพื่อหลบหนีจากการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีการก่อเหตุต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ ต้นปี 2568
คดีต่อมาเจ้าหน้าที่ กก.สส.2 บก.สส.ร่วมกับ สน.สุทธิสาร จับกุม 2 บอสชาวจีน กลุ่มอั้งยี่ ทำหน้าที่คอกม้าจัดการด้านการเงิน รวม 5 ราย ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดการดูแลด้านการเงิน โดยมาเช่าโรงแรมในพื้นที่ ถ.รัชดาภิเษก ในที่ทำการ โดยมีชาวจีนเป็นผู้ควบคุมสั่งการ และมีชาวไทยที่ทำหน้าที่คอยรับเงินผ่านบัญชี และถอนเงินออก คอยนำเงินได้มาให้เพื่อแลกกับยอดส่วนแบ่งจากการกดเงิน นอกจากนี้ขณะจับกุมตัวได้พบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยใช้ห้องพักดังกล่าวเป็นสถานที่มั่วสุม
พล.ต.ต.โชติวัฒน์ กล่าวอีกว่า อีกคดี เจ้าหน้าที่ กก.3 บก.สส. ร่วมกับ สน.สุทธิสาร นำกำลังไปจับกุม ชายชาวจีน ตัวบอสชาวจีนคนคุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์บัญชีม้าถอนเงิน พร้อมชาวไทยที่รับเปิดบัญชีม้าและม้ากดเงิน รวม 4 คน ทั้งนี้ ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนจากคดีที่คนร้ายหลอกส่งข้อความอ้างว่ามีพัสดุเสียหายและจะให้เงินค่าชดเชยพัสดุเสียหาย 500 บาทแต่กลับเป็นการหลอกให้โอนเงินไปจำนวน 2 ครั้ง 2 บัญชีธนาคารรวมแล้วเป็นเงิน 2.7 ล้านบาท โดยคนร้ายตระเวนกดเงินในหลายพื้นที่โดยมีการกดเงินในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเชียงใหม่พื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และกรุงเทพ ฯ จึงนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดรวม 11 หมายจับ โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 รายดังกล่าว
โดยพฤติการณ์ของกลุ่มกดเงินจะแบ่งการกดเงินออกเป็น 2 รอบรอบแรก เป็นนางสาวเอ (นามสมมุติ) บัญชีม้าแถวแรกกดเงินออกจากบัญชี 814,000 บาท ส่วนบัญชีม้ารายที่ 2 เปิดในนามบริษัทโดยให้นางสาวบี (นามสมมุติ) ไปกดเงินสดออกจากบัญชี 1 ล้าน 6 แสนกว่าบาท แต่จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินละเอียดลงไปพบว่าการถอนเงินออกจากบัญชีในวันนั้นถอนเงินสดไปรวมมากกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งต้องสงสัยว่าอาจเป็นเงินจากผู้เสียหายรายอื่นที่ผู้ต้องหารับเป็นบัญชีม้าด้วย จนกระทั่งชุดสืบสวนขยายผลไปจับกุมชายชาวจีน ได้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังรับประทานอาหารอยู่
ทั้งนี้ เมื่อชุดจับกุมแสดงหมายจับผู้ต้องหาอ้างว่าไม่สามารถพูดภาษาไทยได้และขอคุยผ่านล่าม เบื้องต้นให้การปฏิเสธอ้างว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มบัญชีม้าแต่ตำรวจมีพยานหลักฐานสำคัญเป็นภาพขณะชายชาวจีนคนดังกล่าวไปรับเงินสดจากกลุ่มบัญชีม้า โดยระหว่างที่ชุดจับกุมทำการควบคุมตัว เจ้าตัวได้แสดงอาการป่วยเจ็บหัวใจเฉียบพลัน อ้างว่ามีอาการโรคหัวใจกำเริบ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดจนกระทั่งพบว่าเจ้าตัวไม่ได้ป่วยจริงตามอ้างแต่เป็นเพียงการละครเท่านั้น
คดีต่อมา กก.สส.4 บก.สส. จับกุมคอกม้า พร้อมผู้ต้องหา 5 คน ตามหมายจับศาลอาญา โดยเป็นายหน้าหาบัญชีม้าจำนวน 2 ราย , ผู้ควบคุมในการกดเงิน, และผู้ช่วยสั่งการในการควบคุมผู้กดเงิน โดยกลุ่มดังกล่าวมีชาวจีนทำหน้าที่ควบคุมสั่งการ และเป็นผู้ดำเนินการจัดสรรผลประโยชน์และส่วนแบ่งให้กับผู้ร่วมขบวนการ
อีกคดี บก.สส. และ กก.สส.บก.น.5 ร่วมกันจับกุมกลุ่มผู้ต้องหา 5 ราย (โดยหนึ่งในผู้ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ) พร้อมอุปกรณ์สื่อสาร, ซิมการ์ด และสมุดบัญชีธนาคารต่างธนาคารหลายบัญชี พร้อมเงินสดที่ได้จากการกระทำความผิดจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาที่จับกุมตัวได้ทั้ง 5 ราย ทำหน้าที่จัดการด้านการเงินที่ได้จากการหลอกลวงผู้เสียหายเรื่องเงินเกษียณอายุราชการ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินไปยังบัญชีกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม หลังจากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาจะตระเวนถอนเงินตามสาขาต่างๆ เพื่อส่งมอบเงินให้กับผู้ควบคุม
และคดีสุดท้าย กก.สส.บก.น.9 ร่วมกับ สภ.เมืองนนทบุรี ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มจัดการผลประโยชน์ที่ได้จากการฉ้อโกงประชาชนฯ โดยใช้วิธีข่มขู่ผู้เสียหายทางโทรศัพท์เพื่อให้เกิดความกลัว เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและทำการโอนเงินไปให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ ผู้ควบคุมกลุ่มจัดการด้านการเงิน จะสั่งการให้ผู้ต้องหารายนี้พร้อมพวก ทำหน้าที่ในการไปถอนเงินโดยมีผู้มาควบคุมในการปฏิบัติและรอรับเงินที่จากการกระทำความผิด ซึ่งทาง กก.สส.บก.น.9 อยู่ระหว่างการขยายผลกลุ่มผู้ร่วมกระทำความผิด
พล.ต.ต.โชติวัฒน์ กล่าวอีกว่า โดยพบพฤติการณ์ของกลุ่มบัญชีม้าเหล่านี้ มีหัวหน้าขบวนการเป็นชาวจีน ซึ่งภายหลังจากหลอกลวง กลุ่มชาวจีนจะนำเงินไปแปลงเป็นทรัพย์สินประเภทเงินดิจิทัล และเงินสด เพื่อนำกลับประเทศ ส่วน การจ้างวานพบบัญชีม้าส่วนใหญ่หางานผ่านเพจเฟซบุ๊ก
สำหรับกลุ่มของ 2 หัวหน้าชาวจีนในคดีแรก พฤติการณ์พบว่า มีผู้ร่วมขบวนการ 6 คน ซึ่งแผนประทุษกรรมนั้น พบว่าได้หลอกคนไทยโดยอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ อ้างว่าจะมีการคุ้มครองมีวงเงินฝาก ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินไป จำนวน 3.7 แสนบาท ตำรวจจึงสืบสวนสอบสวนกระทั่งพบเจ้าของบัญชีม้า ได้มากดเงินจากตู้เอทีเอ็มในพื้นที่ลาดพร้าว ก่อนจะส่งเงินให้กับคนจีน ซึ่งรออยู่ที่โรงแรม ย่านรัชดา และมีการพักอาศัยแบบกลุ่มก้อน ชุดจับกุม จึงเดินทางไปตรวจสอบ และพบกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดภายในห้องพักของโรงแรมดังกล่าว ซึ่งคนไทยในขบวนการนี้มีการแบ่งหน้าที่กัน ทั้งเปิดบัญชีและเช่าห้องพักตามสถานที่ต่างๆ โดยจะได้รับค่าจ้าง 1,000-2,000 บาท ต่อครั้ง ตำรวจจึงดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด โดยแบ่งเป็น ผู้ต้องหา 5 คนถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน อังยี่ซ่องโจร ส่วนหญิงชาวไทยอีก 1 คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาเสพยาเสพติดประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือไอซ์) โดยผิดกฎหมาย ซึ่งภายหลังพบว่าศาลจังหวัดลพบุรีได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและแสดงตนเป็นผู้อื่น
พล.ต.ต.โชติวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนคดีอื่น ๆ พบรูปแบบการหลอกลวงคล้ายกัน คือมีการปรับเปลี่ยนวิธี โดยหันมาใช้การเปิดห้องพักโรงแรมในกรุงเทพมหานครเป็นที่พัก โดยจะมีการย้ายโรงแรมไปเรื่อย ๆ เพื่อให้บัญชีม้าคนไทยตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็ม สำหรับนำเงินสดมาให้หัวหน้าชาวจีน แทนการกดเงินจากต่างประเทศ ซึ่งย่านที่ได้รับความนิยมที่คือย่านห้วยขวาง สุทธิสาร สำหรับบัญชีม้าส่วนใหญ่ ที่เข้าร่วมขบวนการพบว่ามีการประกาศหาผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก โดยมีทั้งคนไทยที่ถูกหลอกและสมัครใจเข้าร่วมขบวนการ