ทำไมแบรนด์เนมมือสองโต ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ดี ? ‘RAGTAG’ ร้านญี่ปุ่นบุกไทย จ่อเปิดอีก 10 แห่ง

แม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะยังชะลอตัว แต่วิกฤติครั้งนี้กลับพลิกเป็นโอกาสที่ทำให้สินค้ามือสองโดยเฉพาะ “สินค้าแบรนด์เนม” เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่มาของ “RAGTAG” ร้านขายแบรนด์เนมมือสองสัญชาติญี่ปุ่นที่เลือกศูนย์การค้า “One bangkok” เป็นสโตร์แห่งแรกในไทย

เริ่มจากอินไซต์ของ “ฮายาโตะ โมเทกิ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด เคยมาไทยเมื่อปี 2558 สังเกตเห็นว่า คนไทยโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้ความสนใจสินค้าแบรนด์เนมมือสอง จึงเป็นโอกาสที่จะนำเสนอสินค้าแฟชั่นมือสองในไทย

ผู้บริหารระบุว่า ทางสหกรุ๊ป และ “RAGTAG” ทำงานร่วมกันมาราว 8 ปีแล้ว หลังยุคโควิด-19 จบลง ทางผู้บริหารก็มีความพยายามขยายความร่วมมือ เนื่องจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเข้มแข็งมาก ติด 1 ใน 10 บริษัทแฟชั่นชั้นนำ ร้าน “RAGTAG” ที่ญี่ปุ่นก็โตต่อเนื่อง ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ให้ความสนใจแบรนด์เนมมือสองเพิ่มขึ้น ช่วงเวลานี้จึงน่าจะถูกที่ถูกเวลาที่สุดในการเปิดร้าน

-หน้าร้าน RAGTAG สาขา One bangkok-

ความน่าสนใจ ก็คือสินค้ามือสองโดยเฉพาะสินค้าแบรนด์เนมญี่ปุ่นเป็นที่พูดถึงในกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่คนไทยที่เคยไปญี่ปุ่นก็ให้ความสนใจช้อปปิ้งติดไม้ติดมือกลับมาด้วย “โมเทกิ” บอกว่า ร้านมือสองในญี่ปุ่นมีมานานมากแล้ว เริ่มต้นจากการมีทรัพยากรอย่างจำกัด ในอดีตร้านค้ามือสองส่วนใหญ่เป็นร้านขนาดเล็ก มีกลิ่นอับชื้นจากของมือสอง บรรยากาศมืดๆ ไม่ได้สว่างสดใสเหมือนทุกวันนี้ แต่หลังจากความนิยมเพิ่มขึ้นจนธุรกิจเปลี่ยนผ่านมาถึงปัจจุบัน ร้านค้าก็เริ่มสนใจการตกแต่งหน้าร้านมากขึ้นล้อไปกับการให้ความสำคัญกับทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีคุณค่า

สำหรับในไทย ก่อนหน้านี้ “RAGTAG” เคยเข้ามาชิมลางด้วยการเปิด Pop-up Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ 6 เดือน เพื่อเก็บดาต้าและนำข้อมูลไปวิเคราะห์เชิงการตลาด พบว่า คนไทยนิยมเสื้อผ้าไซซ์ใหญ่ ชอบใส่เสื้อผ้าโอเวอร์ไซซ์ไม่พอดีตัวมากเกินไป เน้นสะดวกสบาย หลวมๆ ไม่แนบตัว รวมถึงมีสีสันสดใสมากกว่าคนญี่ปุ่น แพทเทิร์นที่ชอบก็ต่างกัน ลวดลายก็ต่างกัน

“ธุรกิจมือสองมีอัตราการ Recover ที่ดี แสดงให้เห็นถึงเทรนด์มาแรงก่อนโควิด-19 อีก คนรุ่นใหม่มีมุมมองใหม่ๆ ไม่ได้มองว่า ต้องซื้อสินค้ามือหนึ่งเท่านั้น การใช้สินค้ามือสองไม่ได้มีข้อจำกัด แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวตั้งแต่ต้นปี แต่เราก็ไม่ได้คิดว่า จะกระทบกับ RAGTAG คิดว่าทำได้ตามเป้าหมาย และมีการเติบโตที่ดีเหมือนกับธุรกิจใน Circular Economy อื่นๆ ที่มีการเติบโต”

-ฮายาโตะ โมเทกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์ สห (ประเทศไทย) จำกัด-

“โมเทกิ” บอกว่า โจทย์ที่ต้องทำให้ประสบความสำเร็จ คือการทำให้ “RAGTAG” เป็นที่รู้จัก และสามารถขยายสาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ หากถามว่า มีเป้าจำนวนสาขาในใจหรือไม่ มองว่า อยากขยายให้ได้มากที่สุดพร้อมกับเงื่อนไขเรื่องโลเคชันที่ต้องกระจายตัวเพื่อไม่ให้แต่ละสาขากระทบซึ่งกันและกัน จะมีการนำตัวเลขหลังบ้านมาวิเคราะห์หลังเปิดสาขาแรกไปแล้วเพื่อดูว่า จะเปิดที่ไหนต่อและเปิดด้วยจำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้ร้านมือสองแห่งนี้ประสบความสำเร็จในไทย

สินค้าขายดีที่ร้านทั้งญี่ปุ่นและไทยมีความคล้ายคลึงกัน คือเป็นกลุ่มเสื้อผ้าและจิวเวลรี่ แบรนด์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ “หลุยส์ วิตตอง” (Louis Vuitton) และ “กุชชี่” (Gucci) อาจเพราะมือหนึ่งราคาค่อนข้างสูง พอเป็นมือสองก็เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งที่ “RAGTAG” จะมีผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่ประเมินสภาพสินค้าและราคาด้วยการให้คะแนนหรือตัดเกรด มีทั้งหมด 3 เกรด ได้แก่ “N” สินค้าเกือบใหม่ มีร่องรอยการใช้งานน้อยมาก “A” และ “B” มีร่องร่อยการใช้งานมาแล้ว โดยร้านจะติดป้ายแท็กให้ลูกค้าได้เห็นตั้งแต่เลือกซื้อ

-ตัวอย่างสินค้าในร้าน RAGTAG-

ด้านกลุ่มเป้าหมายไม่มีระบุตายตัว มองว่า แฟชั่นเหมาะกับทุกเพศทุกวัย อายุเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้านเริ่มตั้งแต่ 18 ปี ไปจนถึง 60 ปี ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง “500,000 บาท” มั่นใจได้ว่า ทุกชิ้นเป็นของแท้ที่ผ่านการตรวจสอบการันตีมาแล้ว

เป้าหมายด้านธุรกิจหลังจากนี้ถ้าได้รับฟีดแบ็กที่ดี ปีหน้ามีแผนขยายต่อแน่นอน ระยะยาวอีก 3-5 ปี ตั้งใจขยายอีกไม่ต่ำกว่า 10 สาขา เล็งพื้นที่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก เชื่อว่า เทรนด์เรื่องความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อีกมาก บางคนใช้สินค้ามือหนึ่งก็หันมาเปิดใจใช้มือสองมากขึ้น หลังจากนี้วางแผนทำการตลาดให้ทั่วถึงทุกเจนทั้งบน Facebook Instargram และ TikTok