โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

นักวิชาการ ชี้การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกระทบการลงทุน การดำเนินนโยบาย มาตรการสะดุด หวังได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ

BTimes

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Biz

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางด้านการลงทุนของไทย มีความมั่นคงและเข้มแข็งระดับหนึ่งในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลย่อมนำมาสู่ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ย่อมเกิดขึ้น การชะลอตัวของการลงทุนจะมากหรือน้อย อยู่ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้รวดเร็วแค่ไหน และองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีประกอบไปด้วยคนดีมีความรู้ความสามารถหรือไม่

ความเชื่อมั่นการลงทุนอาจสั่นคลอนมากขึ้น หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว แม้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว แต่มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่อาจอยู่ไม่นาน ยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่สามารถทำได้ในระยะนี้ รวมทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ที่รอกระบวนการตัดสินใจต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าหลังการเลือกตั้งในอีก 4-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งเราหวังว่าจะได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า หากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ยังเป็นไปตามวิถีทางแห่งกฎหมาย และครรลองของระบอบประชาธิปไตยตามกลไกรัฐสภา ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะอยู่ในระดับจำกัด และสามารถบริหารจัดการได้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 2% ยังมีความเป็นไปได้

โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3% และคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง จะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งการขยายตัวของภาคส่งออก ที่อาจเริ่มติดลบตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป การชะลอตัวของภาคการลงทุนทั้งภาครัฐ และเอกชนเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกอาจติดลบ โดยการขยายตัวของภาคการลงทุนเป็นบวกในช่วงครึ่งปีแรก การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.4% ภาครัฐขยายตัว 17.5% หากรัฐสภาสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในวันที่ 3 กันยายน ตลาดการเงินและตลาดหุ้นไทยน่าจะตอบสนองในทางบวก

นายอนุสรณ์ ได้เสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อต่อรัฐบาลใหม่ให้มีการดำเนินการ ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ดังนี้

-มาตรการแรก เจรจาหารือกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการปะทะกับตามแนวชายแดนไทยกัมพูชารอบใหม่ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและทหาร ป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน

-มาตรการที่สอง ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาให้กลับสู่ภาวะปกติ และเปิดด่านชายแดนเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

-มาตรการที่สาม เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะงบลงทุน และเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับอนุมัติแล้ว

-มาตรการที่สี่ สนับสนุนการขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

-มาตรการที่ห้า ออกมาตรการลดผลกระทบที่เกิดจากกำแพงภาษี และมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี และรักษาการจ้างงาน

-มาตรการที่หก มาตรการดูแลผลกระทบจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตรกรรม และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

-มาตรการที่เจ็ด มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น

ส่วนนโยบายหรือมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ คงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มากนักในรัฐบาลใหม่ที่อายุ 4 เดือน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิตินั้น ต้องอาศัยความมีเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาลต้องอยู่ยาวนานพอ อาจจะเกิดขึ้นได้หลังการเลือกตั้งหากได้รัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด การถดถอยลงของภาคส่งออกจากการชะลอของเศรษฐกิจโลก เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังในเรื่องการยกระดับขีดความสามารถของสินค้าไทย และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น

ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของไทย (Total Factor Productivity of Thailand) นั้น ยังมีอัตราการเติบโตต่ำ ธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีผลิตภาพสูงส่วนใหญ่ เป็นโรงงานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติ ที่มีการใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้น งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการผลิตรวมของไทยขยายตัวต่ำกว่า 1.2-1.3% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระดับประสิทธิภาพในการผลิต (Productive Efficiency) อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศที่ใช้แรงงานเป็นหลัก และประเทศที่ใช้ทุนเป็นหลักจึงสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนี้ จะยาวนานมากจนกว่าไทยสามารถพัฒนากิจการที่มูลค่าเพิ่มสูง การผลิตใช้ปัจจัยทุนหรือเทคโนโลยีเข้มข้น พร้อมกับสามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง

ปัจจัยประสิทธิภาพการผลิตนี้ เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อพื้นฐานความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากปัจจัยค่าแรง นโยบายสาธารณะ และอำนาจตลาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว และใช้เวลาสั้นกว่ามาก ภาวะการตกต่ำของภาคส่งออกไทยโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมบางตัว จะเกิดขึ้นอย่างยาวนาน หากไม่สามารถปรับปรุงผลิตภาพการผลิตได้

จากประสบการณ์ของประเทศที่สามารถก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลางได้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ นั้น ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาระดับความสามารถทางการผลิตของประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก การกดค่าแรงไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เพื่อนร่วมชาติผู้ใช้แรงงานต้องได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนแรกเข้าสูงขึ้น เป็นนโยบายที่จะช่วยบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้องมีมาตรการเชิงรุกอื่น ๆ เพิ่มเติม จึงสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื้อรังที่ต้นตอได้

นายอนุสรณ์ กล่าว่า ภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทย ไม่สามารถอาศัยแรงงานทักษะต่ำราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อย ๆโดยไม่คิดยกระดับทักษะแรงงานเหล่านี้ เราควรปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวอย่างมีมาตรฐาน และสิ่งนี้เป็นการแสดงความมีศิวิไลซ์ของสังคมไทย การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมจึ งต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทุน โดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะผูกขาด ให้กลายเป็นทุนที่แข่งขันกันอย่างเสรี

"เราต้องมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่อาศัยนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยสัมปทานผูกขาดจากภาครัฐ ขณะเดียวกัน ต้องมีมาตรการทางภาษีในการแบ่งปันกำไรส่วนเกิน มากระจายให้กับสังคมผ่านระบบสวัสดิการ หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ยากจน" นายอนุสรณ์ ระบุ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...