การทูตมุ่งยุติสงครามยูเครนของ‘ทรัมป์’ สะท้อนข้อจำกัดของยุทธศาสตร์ใหญ่สหรัฐฯ
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/ukraine-war-diplomacy-hits-limits-of-us-grand-strategy/)
Ukraine war diplomacy hits limits of US grand strategy
by Leon Hadar
20/08/2025
ความคิดเห็นที่ว่าความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างผู้นำ สามารถที่จะมีอำนาจอิทธิพลเหนือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างอย่างล้ำลึกได้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาความเชื่ออันแปลกประหลาดประการหนึ่งของชาวอเมริกัน
ความเคลื่อนไหวเดินหมากทางการทูตระหว่างวอชิงตันกับมอสโกในเรื่องยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นตัวอย่างระดับบรรจุไว้ในตำราเรียนได้ ว่าด้วยพวกชนชั้นนำด้านนโยบายการต่างประเทศชาวอเมริกันนั้น ยังคงมีความเปะปะสับสนอย่างไรบ้าง ในการนำเอาพวกการแสดงท่าทีอวดใหญ่อวดโต มาปะปนกับเรื่องความสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกันในเชิงยุทธศาสตร์
ข้อเสนอให้หยุดยิงกันทันทีที่ประกาศออกมาในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการดำเนินการทางการทูตผ่านโทรศัพท์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้กับ วลาดิมีร์ ปูติน และการปรับเปลี่ยนจุดยืนของการเจรจาไปๆ มาๆ ซึ่งเกิดขึ้นหลายระลอกต่อจากนั้น ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความประณีตละเอียดอ่อนทางการทูตแต่อย่างไรเลย หากแต่เป็นการสำแดงให้เห็นความโน้มเอียงทางการทูตแบบอเมริกันที่ดำรงคงอยู่มานานแล้ว ซึ่งมุ่งปฏิบัติต่อบรรดาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อันสลับซับซ้อน ในฐานะที่เป็นพวกปัญหาที่สามารถแก้ไขคลี่คลายได้โดยอาศัยการผสมผสานกันระหว่างการบีบคั้นกดดัน กับการโน้มน้าวจูงใจ ให้ถูกจุดถูกจังหวะ
ความจำกัดของประธานาธิบดีในการดำเนินการทางการทูต
การประชุมซัมมิตที่อะแลสกาเมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับประธานาธิบดีปูติน ซึ่งถูกระบุว่าสามารถสร้าง “ความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่” ทว่าไม่ได้มีข้อตกลงรูปธรรมใดๆ ออกมานั้น คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจผิดในระดับรากฐานซึ่งได้สร้างความเสียหายเรื่อยมาให้แก่นโยบายอเมริกันที่ใช้กับรัสเซีย นับตั้งแต่การสิ้นสุดลงของสงครามเย็น
ความคิดเห็นที่ว่าความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างผู้นำ สามารถที่จะมีอำนาจอิทธิพลเหนือความขัดแย้งเชิงโครงสร้างอย่างล้ำลึกได้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาความเชื่ออันแปลกประหลาดประการหนึ่งของชาวอเมริกัน ที่ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของปัจเจากบุคคลนั้น มีพลังอำนาจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์
การที่ ทรัมป์ ดูเหมือนละทิ้งข้อเรียกร้องต่างๆ เกี่ยวกับการหยุดยิง แล้วหันมายอมรับทราบว่า “ปูตินต้องการดินแดน” เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการตระหนักรับรู้อย่างล่าช้ามากในสิ่งซึ่งพวกนักสัจนิยม (realists) มีความเข้าใจกันมานมนานแล้ว นั่นคือ ข้อพิพาททางดินแดนทั้งหลายซึ่งมีรากเหง้ามาความความกังวลสนใจเรื่องความมั่นคงและความคับข้องใจที่สืบทอดมาในประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถตั้งจิตปรารถนาให้คลี่คลายโดยเพียงแค่อาศัยเวทีทางการทูตเท่านั้น
กระนั้นก็ตาม กระทั่งการยอมรับความเป็นจริงอย่างน้อยนิดเดียวเช่นนี้ ก็ยังเกิดขึ้นมาในสภาพที่ถูกบรรจุหีบห่อเอาไว้ภายในข้อสมมุติฐานที่ชาวอเมริกันแสนคุ้นเคยที่ว่า การผสมผสานกันอย่างถูกต้องเหมาะเจาะระหว่างการให้รางวัลและการลงโทษ ในที่สุดแล้วก็จะสามารถโน้มน้าวให้เหล่าปรปักษ์กระทำตามสิ่งที่วอชิงตันมีความปรารถนา
ความขัดแย้งกันเองในเรื่องเกี่ยวกับยูเครน
การสู้รบขัดแย้งในเรื่องยูเครน เป็นการนำเสนอความจริงที่ไม่น่าสบายใจเลยแก่พวกผู้วางนโยบายอเมริกัน กล่าวคือ สหรัฐฯทั้งไม่ได้มีผลประโยชน์ระดับเป็นตายอยู่ในเรื่องนี้ และทั้งไม่ได้มีสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับแก้ไขคลี่คลายข้อพิพาทนี้ได้อย่างเด็ดขาดชัดเจนในเงื่อนไขซึ่งอำนวยประโยชน์ให้แก่เคียฟ
ขณะที่การอภิปรายถกเถียงกันเกี่ยวกับ “การค้ำประกันความมั่นคง” และ “การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกันจำนวนมากมายมหาศาล” คือการสะท้อนให้เห็นถึงหนทางแก้ไขวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศซึ่งพวกชนชั้นนำวอชิงตันชื่นชอบกันเหลือเกิน –อันได้แก่ การโยนเงินทองและอาวุธเข้าไปในปัญหาดังกล่าว ขณะเดียวกับที่หลีกเลี่ยงการต้องตัดสินใจเลือกเชิงยุทธศาสตร์อันยากลำบาก ทั้งที่หลักการบริหารจัดการรัฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเรียกร้องให้ต้องกระทำเรื่องเหล่านี้
วิธีการเข้าถึงปัญหาเช่นนี้ อาจจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่พวกผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในหลายวงการ เป็นต้นว่า พวกผู้รับเหมารับจ้างด้านกลาโหมได้ผลประโยชน์จากการขายอาวุธ สำหรับพวกชนชั้นนำด้านนโยบายการต่างประเทศสามารถชี้ให้เห็นว่าอเมริกากำลังแสดงให้เห็น “ความเป็นผู้นำ” ของตน ส่วนพวกท่านผู้ชมท่านผู้เชียร์ในสหรัฐฯก็สามารถเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมาจากการได้แสดงความสนับสนุนไก่รองบ่อนให้ลุกขึ้นต่อต้านคัดค้านการรุกราน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่วิธีการเช่นนี้ประสบความล้มเหลวก็คือ มันไม่ได้จัดการกับความเป็นจริงทางยุทธศาสตร์ที่ซุกซ่อนอยู่ลึกลงไป ซึ่งได้แก่ การที่รัสเซียมองเรื่องยูเครนหันไปจับมือเป็นพันธมิตรกับฝ่ายตะวันตก ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงปลอดภัยของตนถึงขั้นคุกคามว่าตนเองจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร แต่เวลาเดียวกันนั้นสหรัฐฯก็ขาดไร้ทั้งเจตจำนงและเครื่องมือสำหรับการค้ำประกันบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน ไม่ให้ถูกเล่นงานจากรัสเซียผู้ซึ่งมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอยู่ภายในใจแล้ว
มายาภาพที่เชื่อว่าปัญหาระหว่างประเทศแก้ไม่ได้ถ้าไม่มีสหรัฐฯ
“การพบปะหารือที่มีเดิมพันสูง” ซึ่งผู้เข้าร่วมประกอบด้วยบรรดาผู้นำยุโรป, ทรัมป์, โวโลดิมีร์ เซเลนสกี, และเลขาธิการนาโต้ เป็นตัวแทนความเชื่อของชาวอเมริกันที่ได้ถูกทำให้กลายเป็นสถาบันไปเรียบร้อยแล้ว ความเชื่อดังกล่าวก็คือ ปัญหาระหว่างประเทศใดๆ ก็ตามจะไม่สามารถแก้ไขคลี่คลายได้ ถ้าหากไม่มีวอชิงตันเข้าไปร่วมอยู่ด้วยโดยแสดงบทบาทในฐานะเป็นศูนย์กลาง
สมมุติฐานว่าด้วยการไม่อาจขาดหายไปได้ของอเมริกาเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้ความรับผิดชอบของอเมริกันอยู่ในภาวะเฟ้อจนเกินขอบเขตที่จะแบกรับเอาไว้ได้อย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังเป็นการบรรเทาภาระของตัวแสดงอื่นๆ ในการที่พวกเขาจะต้องพัฒนาหนทางของตนเองในการแก้ไขคลี่คลายบรรดาความขัดแย้งระดับภูมิภาคขึ้นมาบ้าง
สภาพความเป็นจริงมีอยู่ว่า วิกฤตยูเครนนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นปัญหาความมั่นคงของยุโรป ทว่าชาวยุโรปส่วนใหญ่แล้วเลือกที่จะเอาต์ซอร์ซ (outsource) ออกมาให้อเมริกาเป็นผู้นำ การดำเนินการเช่นนี้เปิดทางให้พวกพันธมิตรยุโรปของสหรัฐฯสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องตัดสินเลือกในทางยุทธศาสตร์อันยากลำบาก รวมทั้งไม่ต้องแสดงความมุ่งมั่นผูกพันในทางทรัพยากรซึ่งจะต้องมีการเรียกร้องให้แบ่งสรรกันแบกรับภาระอย่างจริงๆ จังๆ ขณะเดียวกันนั้นก็ทำให้พวกชนชั้นนำอเมริกันสามารถที่จะประคับประคองมายาภาพที่ว่าความเป็นผู้นำระดับโลกเป็นสิ่งที่ส่งเสริมหนุนเสริม ไม่ใช่เป็นตัวจำกัดลดทอนพลังอำนาจของอเมริกา
สู่ความจำกัดทางยุทธศาสตร์
ถ้าหากเป็นแบบแผนวิธีการเข้าถึงวิกฤตยูเครน ในแบบของนักสัจนิยมอย่างแท้จริงแล้ว จะต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับอย่างซื่อสัตย์ถึงความจำกัดต่างๆ ของอเมริกัน แทนที่จะเป็นการให้คำมั่นสัญญาอย่างโอฬารโอ่อ่าในเรื่องการให้ความสนับสนุนเคียฟ
สหรัฐฯนั้นมีผลประโยชน์อันชอบธรรมที่จะป้องกันวิกฤตคราวนี้ไม่ให้บานปลายกลายเป็นสงครามของยุโรปในขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น และในการธำรงรักษาความสัมพันธ์อันมีเสถียรภาพกับทั้งรัสเซียและกับทั้งพวกพันธมิตรยุโรปของตน แต่สหรัฐฯไม่ได้มีผลประโยชน์อันหนักแน่นจริงจังใดๆ เลย จากการเข้าไปวินิจฉัยตัดสินโครงร่างลักษณะอย่างละเอียดถี่ถ้วนของแนวพรมแดนยูเครนหรือของรัฐบาลยูเครน
การที่คณะผู้แทนฝ่ายยูเครนระบุว่า “มีความพร้อมที่จะยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯในการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวระยะเวลา 30 วันในทันที” บ่งชี้ให้เห็นว่าแม้กระทั่งเคียฟก็ยอมรับถึงความจำเป็นที่จะต้องทำความตกลงยินยอมซึ่งมุ่งผลในทางปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความเป็นจริงทางการทหาร
กระนั้นก็ตาม นโยบายของอเมริกันก็ยังคงอยู่ในลักษณะกวัดแกว่งไปมาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ระหว่างถ้อยคำโวหารเกี่ยวกับอธิปไตยของยูเครนในแบบฉบับของผู้มุ่งที่จะให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด (maximalist) กับแผนการริเริ่มทางการทูตอย่างเฉพาะกิจที่ล้มเหลวไม่ได้แก้ไขรับมือกับพลวัตที่อยู่ลึกลงไปของความขัดแย้งนี้
ราคาของการทำสิ่งต่างๆ เกินกำลังตนเอง
การชิงไหวชิงพริบกันอย่างวุ่นวายเร่งรีบทางการทูตในเรื่องยูเครนนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องราวในระดับกว้างขวางใหญ่โตขึ้นไปอีกในยุทธศาสตร์ใหญ่ของอเมริกา ได้แก่ ความโน้มเอียงที่จะปฏิบัติต่อข้อพิพาทระหว่างประเทศทุกๆ เรื่องว่าเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งต่อเครดิตความน่าเชื่อถือของอเมริกา ซึ่งจำเป็นที่อเมริกาจะต้องเข้าไปแทรกแซงในลักษณะที่ทำให้ได้ผลออกมาตามต้องการ
แบบแผนวิธีการเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทางที่ไม่ได้รับใช้ผลประโยชน์ของอเมริกา และก็ไม่ได้มีผลต่อเสถียรภาพระดับภูมิภาคมาโดยตลอด ตั้งแต่ อิรัก และ ลิเบีย ไปจนถึงอัฟกานิสถาน และเวลาก็มีศักยภาพที่จะเป็นเช่นนี้อีกในยูเครน
หนทางเลือกอื่นๆ หากไม่กระทำเช่นนี้ ไม่ใช่อยู่ที่การหันไปใช้ลัทธิอยู่อย่างโดดเดี่ยว (isolationism) แต่คือการมุ่งเน้นที่การเลือกสรรในเชิงยุทธศาสตร์ (strategic selectivity) –การยอมรับว่าพลังอำนาจของอเมริกานั้น ไม่ว่าจะมีความหนักแน่นจริงจังเพียงใดก็ตามที มันก็มีขีดจำกัดและจักต้องประหยัดอดออมไว้ใช้สำหรับสิ่งที่เป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งยวดอย่างแท้จริง
ในกรณีของยูเครน นี่อาจจะหมายถึงการยอมรับการรอมชอมโดยผ่านการเจรจาตกลงกันซึ่งสะท้อนถึงดุลทางทางทหารของกลุ่มพลังต่างๆ แทนที่จะขึ้นอยู่กับความชื่นชอมของพวกผู้วางนโยบายในวอชิงตัน
การร่ายรำทางการทูตในปัจจุบันระหว่างวอชิงตันกับมอสโกน่าที่จะดำเนินต่อไปจวบจนกระทั่งพวกผู้เข้าร่วมยอมรับสิ่งที่ความเป็นจริงทางการทหารได้กำหนดวินิจฉัยออกมาแล้ว ซึ่งก็คืออนาคตของยูเครนนั้นต้องขึ้นอยู่กับการยินยอมอ่อนข้อในบางรูปแบบให้กับความกังวลสนใจทางด้านความมั่นคงของฝ่ายรัสเซีย ไม่ใช่อยู่ที่การทำให้การสู้รบขัดแย้งลากยาวยืดเยื้อออกไปอย่างไม่จบไม่สิ้นซึ่งไม่ได้รับใช้ผลประโยชน์ของฝ่ายยูเครนและก็ไม่ได้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายอเมริกา
ยิ่งพวกผู้วางนโยบายของฝ่ายอเมริกายอมรับความเป็นจริงนี้ได้เร็วเท่าใด การทูตที่แท้จริงก็สามารถที่จะเริ่มต้นขึ้นมาได้เร็วเท่านั้น
ลีออน ฮาดาร์ เป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่สถาบันวิจัยนโยบายการต่างประเทศ (Foreign Policy Research Institute) และเป็นบรรณาธิการผู้ร่วมงาน (contributing editor) ของนิตยสาร ดิ อเมริกัน คอนเซอร์เวทีฟ (The American Conservative) เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Quagmire: America in the Middle East” และเรื่อง “Sandstorm: Policy Failure in the Middle East.”
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO