มท.1 'ภูมิธรรม' มอบนโยบายและติดตามการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
วันนี้ (20 ส.ค. 2568) เวลา 10.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและติดตามการขับเคลื่อนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และคณะ รายงานสรุป ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ชั้น 2 ตำรวจภูธรภาค 5 ถ.มหิดล จ.เชียงใหม่
นายภูมิธรรม กล่าวว่า สังคมไทยวันนี้รับรู้ว่า "ยาเสพติดเป็นเรื่องเร่งด่วน เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและประเทศชาติของเรา" เราต้องยอมรับกันอย่างชัดเจนว่า พี่น้องประชาชนทุกคนรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า และมันทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ทำให้เกิดปัญหาที่มันพัวพันสังคมหลายส่วน ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อแม่ พี่น้องฆ่ากันเพราะยาเสพติด รัฐบาลจึงกำหนดให้ยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ โดยบูรณาการทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ป.ป.ส. กระทรวงกลาโหม เราบูรณาการทุกส่วนเพื่อแก้ไขปัญหา เพราะเรื่องการแก้ยาเสพติดเป็นเรื่องที่ทำคนเดียวหรือหน่วยใดหน่วยหนึ่งไม่ได้ต้องทำร่วมกันทุกภาคส่วน
สิ่งสำคัญ คือเรายกระดับขึ้นพอสมควร ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาในการแก้ปัญหายาเสพติดซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ สะท้อนผ่านการจับกุมที่มากขึ้นเพราะเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งมีกองทุนของ ป.ป.ส. มาช่วยทำให้การทำงานดีขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดมาตรการเข้มข้นครอบคลุมทุกมิติ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ทั้งป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบำบัดรักษาควบคู่ไปกับการเอกซเรย์สถานที่อย่างเข้มข้น ทั้งในสถานบันเทิงควบคู่การปราบปรามผู้มีอิทธิพล
ในด้านการป้องกัน เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในชุมชน สถานศึกษา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยฝ่ายปกครองต้องรับนโยบายไปช่วยผลักดัน เพราะกลไกของมหาดไทยมีลงไปถึงหมู่บ้าน ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลางแกนกลางของจังหวัด มีนายอำเภอทุกอำเภอ มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน มากกว่า 7 แสนคน ซึ่งถือเป็นกองกำลังอาสาของประชาชนที่สำคัญที่จะต้องเอ็กซเรย์ทุกหมู่บ้าน เพื่อส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการปราบปราม ซึ่งหากเราทำอย่างต่อเนื่องปัญหายาเสพติดก็จะคลี่คลายได้
ขอยืนยันว่ายาเสพติดเป็นเรื่องที่เราจะไม่ปล่อยปละละเลย เราจะดำเนินการกับผู้ค้ารายใหญ่และผู้ค้ายาเสพติดข้ามชาติที่ต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศ เพราะส่วนใหญ่เป็นแหล่งผลิตจากนอกประเทศ และยังพบว่าเดี๋ยวนี้มีการรวมกลุ่มกัน 4-5 คนเช่าบ้านตามชายแดนเพื่อที่จะเป็นแหล่งในการเก็บยาเสพติดและกระจาย ถ้าเราไม่ทำตั้งแต่วันนี้มันก็จะบานปลายไปเรื่อย ๆ จนทำให้ภูมิภาคนี้และสังคมไทยเป็นสังคมง่อยเปลี้ย เราจะใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นควบคู่กับการประสานองค์กรระหว่างประเทศ จับกุมองค์กรค้ายาเสพติดให้สิ้นซาก ทั้งปฏิบัติการ Seal Stop Safe และมี No Drugs No Dealers มาเสริม ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อให้ผู้ค้าหมดไปจากสังคมไทย
อีกเรื่องคือ เรื่องการบำบัดรักษาฟื้นฟู ที่จะต้องร่วมกับสาธารณสุข วันนี้ตนได้ย้ำว่า ต้องมีศูนย์บำบัดฟื้นฟูอย่างน้อยจังหวัดละ 1 ศูนย์ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครองและผู้ว่าราชการจังหวัดต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และติดตามประเมินผลว่า การบำบัดรักษาฟื้นฟูคืนคนดีให้กับครอบครัว คืนคนดีให้กับสังคมยังมีข้อจำกัดอะไร เราต้องแก้ไขปัญหาให้ถึงรากจริง ๆ ต้องฝึกความอดทน และใช้กระบวนการทางการแพทย์เข้าไปช่วยเหลือให้เขาสามารถกลับมาเป็นคนดีได้จริง ๆ
สำหรับภาพรวมการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดตามบัญชีรายชื่อที่สำรวจทั่วประเทศ จับกุมแล้ว 16,800 คน ยังเหลืออีกประมาณ 4,000 คน ในด้านการบำบัดรักษาก็นำเข้าสู่การบำบัดรักษาแล้ว 140,000 คน ยังอยู่ระหว่างการรอบำบัดประมาณ 68,000 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ก็ถือเป็นยอดที่มีการพัฒนาขึ้น
"เหนือสิ่งอื่นใดความรู้สึกของประชาชนเป็นคำตอบของความสำเร็จ ตัวเลขไม่ใช่คำตอบสูงสุด แต่ถ้าประชาชนบอกว่า ดีมาก ยาเสพติดหมดไป มีความสุข นั่นคือ ผลสำเร็จของการทำงาน" นายภูมิธรรม กล่าวเน้นย้ำในช่วงท้าย
การดำเนินการบูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองและฝ่ายความมั่นคงในการป้องกันปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 18 สิงหาคม 2568 สามารถดำเนินการปราบปรามยาเสพติด
- ยึดยาบ้า 222,091,726 เม็ด
- ยึดไอซ์ 11,462.83 กิโลกรัม
- ยึดเคตามีน 1,842.92 กิโลกรัม
- ยึดเฮโรอีน 197.92 กิโลกรัม
- ยึดฝิ่น 155.88 กิโลกรัม
- จับกุมผู้ต้องหา 20,265 ราย
- ขยายผลยึดอายัดทรัพย์สินคดียาเสพติด 1,130,393,621 บาท