เร่งเจรจาจีน รับมือมาตรการอาจสุ่มตรวจสารซัลเฟอร์ลำไยไทยเพิ่ม
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงถึงกรณีที่ประเทศจีนอาจจะมีการเพิ่มมาตรการในการตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) หรือกำมะถันในลำไยของไทย ว่า ตนได้รับแจ้งจากทางทูตเกษตรทั้ง 2 ท่านที่ประจำอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วว่า ทางการจีนอาจจะมีการปรับเปลี่ยนการสุ่มตรวจ จากค่ามาตรฐานที่กำหนดในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับสินค้าผลไม้เมืองร้อนที่ส่งออกจากประเทศไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้ลงนามเมื่อปี พ.ศ.2547 ว่า สารซัลเฟอร์ในลำไย ที่เนื้อไม่เกิน 50 mg/kg แต่อาจจะมีแนวโน้มที่จะมีการยกระดับมาตรฐานสุ่มตรวจสารซัลเฟอร์ทั้งเนื้อและเปลือก แทนการตรวจเฉพาะเนื้อ
ขณะนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว และยังไม่มีหนังสือชี้แจงใด ๆ มาจากทางการจีน ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่เราจะเร่งเจรจาขอผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้มีระยะเวลาในการปรับตัว โดยวานนี้ (20 ส.ค. 68) ตนได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และกรมวิชาการเกษตร เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับผลกระทบหากมีมาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
“ผมต้องทำให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นที่พึ่งของเกษตรกรไทย และทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ให้เกษตรกร ขณะนี้ได้ทำนัดเรื่องเวลาในการที่จะเข้าไปพบกับจีนแล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ดีของประเทศไทยกับประเทศจีนที่เรามีการค้าการขายดั่งพี่ดั่งน้องมาตลอด จะสามารถพูดคุยทางการค้าเพื่อหาข้อสรุปถึงการเปลี่ยนแปลงมาตรการสุ่มตรวจในลำไยที่จะเกิดขึ้นได้”
นายอรรถกร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาในสมัยที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ช่วงนั้นเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนก็เผชิญกับการสุ่มตรวจสาร BY2 ในทุเรียนไทยที่ส่งไปขายที่จีนจะต้องผ่านเกณฑ์ตามที่จีนกำหนดมา ในขณะนั้นกระทรวงเกษตรฯ มีการเตรียมความพร้อมและรับมือจนสามารถผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ ซึ่งการสุ่มตรวจสารในลำไยครั้งนี้ก็เช่นกัน ตนเชื่อว่ากระทรวงเกษตรฯ มีประสบการณ์ในการรับมือ และจะทำให้เกษตรกรได้รับผลกระทบน้อยมากที่สุด
นอกจากนี้ นายอรรถกรยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ลำไยในภาคตะวันออกที่จะมีผลผลิตออกมาอีกกว่า 30,000 ตัน ภายใน 2 - 3 เดือนนี้ว่า ตนเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ทราบถึงปัญหานี้ดีและก็คงจะไม่ปล่อยให้พี่น้องชาวสวนลำไยต้องเดินเดียวดาย และถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้เงินงบประมาณ ตนเชื่อว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี จะนำงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนมาใช้ในส่วนนี้ เพื่อที่จะดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวสวนลำไยต่อไป