ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา คดี นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็น 7 ต.ค. เหตุจำเลยบางคนไม่มา
ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา คดี นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็น 7 ต.ค. เหตุจำเลยบางคนไม่มา หมอเหวง เผยไม่กังวล ผลจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
เมื่อวันที่ 20 ส.ค.68 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี หมายเลขดำ อ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมแกนนำ นปช.คนอื่นๆ รวม 10 คนเป็นจำเลย 1-10 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พศ.2548
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค.-9 เม.ย.52 พวกจำเลยร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พร้อมด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากองคมนตรีรวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญๆ หลายแห่งในกทม.
สำหรับจำเลยทั้ง 10 คนประกอบด้วย 1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ 2.นายจตุพร พรหมพันธุ์ 3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 4.นพ.เหวง โตจิราการ 5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร 6.นายณรงศักดิ์ มณี 7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท 8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ 9.นายพายัพ ปั้นเกตุ 10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง โดยจำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
ต่อมาเวลา 09.00 น. นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เดินทางมาศาล รวมทั้งนายพายัพ ปั้นเกตุ นายณรงศักดิ์ มณี และนายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท ขณะที่ นพ.เหวง เดินทางมาถึงที่ศาลอาญาพร้อมกับ นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตแกนนำนปช. และภรรยา โดยพูดกับสื่อมวลชนสั้นๆ ว่า วันนี้ไม่มีความกังวลอะไรกับการพิพากษาของศาลในวันนี้ ส่วนคำพิพากษาจะเป็นโทษหรือเป็นคุณกับตนหรือไม่นั้น อยู่ที่ดุลพินิจของศาล ซึ่งเคารพคำพิพากษาของศาลอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามตนเชื่อในพยานหลักฐานว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ต่อมาเวลา 09.30 น.นายจตุพร ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องเข้ามาฟังคำพิพากษาของศาลที่ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีเมื่อ 16 ปีก่อนหน้านี้ โดยตนเคารพคำตัดสินของศาลไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่าในวันนี้ได้กลับมาเจอแนวร่วมเดิมที่เคยทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกันมาก่อน แต่วันนี้ต้องอยู่คนละขั้วกันรู้สึกอย่างไรบ้าง นายจตุพร กล่าวว่า ยังไม่รู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ส่วนแนวทางทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของแกนนำแต่ละคนจะสามารถพูดคุยกันได้หรือไม่นั้น ในวันนี้ตนถือว่าทุกคนเป็นจำเลยร่วมกันจะต้องนั่งร่วมในซีกของจำเลยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดกับแกนนำรายอื่นเป็นพิเศษ และยืนยันว่าไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะกันเป็นการส่วนตัว
เมื่อถามว่าในวันที่ 22 ส.ค. จะเป็นการพิพากษาคดี 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ของนายทักษิณ ชินวัตร มองทิศทางหลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้าง นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนนั้นเป็นกระบวนการของศาลชั้นต้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่อง 112 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนที่มีคนใกล้ชิดของนายทักษิณ มั่นใจว่าคดีนี้จะถูกยกฟ้องนั้น ตนมองว่าความมั่นใจกับข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะตนที่ผ่านคดีความมามากมายนั้น ต่อให้มั่นใจอย่างไรแต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือความจริงที่ปรากฏออกมา จึงเป็นธรรมดาของคนที่เป็นจำเลยย่อมมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
เมื่อถามว่าหลังจากวันที่ 29 ส.ค. จะมีสัญญาณการเปลี่ยนรัฐบาลหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ตนมองว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมไปแล้ว โดยไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งในและนอกได้ รวมถึงความนิยมก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ กว่าครึ่ง จึงมองว่ารัฐบาลนี้ควรที่จะเสียสละเพื่อระบอบประชาธิปไตย และถ้ายิ่งยื้อต่อไปเรื่อยๆ และกอดความเสียหายของประเทศเอาไว้ ท้ายที่สุดตนไม่อยากจะให้ตอนจบเป็นแบบเดิมเหมือนก่อนหน้านี้
ต่อมาเมื่อเวลา 09.50 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช. และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังศาลโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับสื่อมวลชน ก่อนรีบขึ้นไปฟังการพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ต่อมาเวลา 10.20 น. ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา เป็นวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 09.00 น. เนื่องจากมีจำเลยบางคนไม่มาฟังคำพิพากษา
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา คดี นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็น 7 ต.ค. เหตุจำเลยบางคนไม่มา
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th