ปตท.จ่อเคาะพันธมิตรร่วมทุน“ปิโตรเคมีและการกลั่น”ปลายปี68 ตั้งเป้าบริหารสินทรัพย์สร้างกระแสเงินสด 1แสนล้านใน2ปีนี้
ปตท.แย้มเคาะพันธมิตรร่วมทุนธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นในปลายปี68 และตั้งเป้าดำเนินธุรกรรมให้แล้วเสร็จในปีหน้า ปตท.ลั่นยังคงถือหุ้นใหญ่ในFlagshipทั้ง3บริษัทอยูทั้งTOP-PTTGC-IRPC พร้อมตั้งเป้าสร้างกระแสเงินสดเพิ่ม 1แสนล้านบาทใน 2ปีนี้ (2568-69)จากการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในกลุ่มปตท. โดยปี68คาดว่ามีกระแสเงินสดเพิ่ม3.7หมื่นล้านบาท
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผย ความคืบหน้าการหาพันธมิตรร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น(R&P)ว่า ขณะนี้ปตท.อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะสรุปคัดเลือกพันธมิตร (Shortlist Partner)ได้ภายในปลายปี2568 และตั้งเป้าดำเนินธุรกรรมให้แล้วเสร็จในปี2569
แม้ว่าจะดึงพันธมิตรร่วมทุนเข้าถือหุ้นในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น แต่ปตท.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทFlagship ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นประกอบด้วยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการตกลงสัดส่วนการเข้าถือหุ้นของพันธมิตรร่วมทุนในบริษัทFlagshipดังกล่าว ซึ่งการดึงพันธมิตรใหม่เข้าร่วมถือหุ้นจะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท
“ โครงการ Genesis มีความก้าวหน้าดี มุ่งปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Flagship ซึ่งหลักการ คือ ปรับ Portfolio กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น,เสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท Flagships ท่ามกลาง Landscape Change และแสวงหา Long term Strategic Partners โดยปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท Flagships “
นายคงกระพัน กล่าวว่า ในช่วง2 ปี บริษัทมุ่งสร้างความแข็งแรงจากภายใน ผ่านโครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงานเพิ่ม EBITDA Uplift และสร้างความสามารถในการแข่งขันของกลุ่ม ปตท. ในทุกมิติ ประกอบด้วย 1. การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ D1 และ Project One (P1) เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งโครงการ P1&D1 ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 4,300 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 2,383 ล้านบาท
2. ทำเรื่อง Operational Excellence (MissionX) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Lean Process) ควบคู่กับการทำ Change Management และ Best Practice Sharing เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยในส่วนของ MissionX วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 4,700 ล้านบาท จากนั้นปี 2570 ตั้งเป้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 30,000 ล้านบาท
3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (Axis) โดยผลักดันให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure และศักยภาพพนักงาน วางเป้าเพิ่ม EBITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปีนี้ทำได้แล้ว 60 ล้านบาท จากนั้นปี 2572 ตั้งเป้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท
4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. เพิ่ม Asset Optimization & Synergy และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว ตั้งเป้าเพิ่มกระแสเงินสดในช่วง 2 ปีนี้ (ปี2568-2569) รวม 100,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2568 จะสร้างกระแสเงินได้ 38,000ล้านบาท และปี 2569 จำนวน 77,000ล้านบาท และเพิ่ม ROIC ขึ้นจากเดิมอีก 5-10%
5. Financial Excellence (F1) เสริมสร้างความแข็งแกร่งและวินัยทางการเงินเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้แก่นักลงทุน สอดคล้องพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า ทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก ขณะที่มาร์จิ้นโรงกลั่นและปิโตรเคมียังทรงตัว แต่กลุ่ม ปตท. เชื่อว่าจะสามารถดำเนินโครงการต่างๆ ตามกลยุทธ์เพื่อเพิ่ม EBITDA ได้ตามเป้าหมาย
สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกปี 2568 ปตท.มีกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิของทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 90,072 ล้านบาท ทำให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์มาถูกทาง แม้ว่าจะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกต่างๆ อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้มีส่วนต่างของกำไรขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ประกอบกับ Spread ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่ลดลง
ทั้งนี้ ปตท. ได้ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Global LNG Player สร้างการเติบโต ขยาย LNG Portfolio สู่เป้าหมาย 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 และ 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2578 โดยลงนามข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหา LNG ระยะยาวกับบริษัท 8 Star Alaska, LLC ประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่วนธุรกิจ Non-Hydrocarbon มีความก้าวหน้าที่ดี เดินตามแผนกลยุทธ์ปรับพอร์ตการลงทุน โดยธุรกิจ Life Science ร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ สร้างการเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self-funding)โดยปตท.มีแผนนำบริษัทอินโนบิก(เอเซีย) จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาหาธุรกิจใหม่เพิ่มเติม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอินโนบิก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ปตท. ได้อนุมัติการขายหุ้นบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) ไม่เกิน 2% ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดผ่านตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน (TWSE) ส่งผลให้อินโนบิกถือหุ้นใน Lotus อยู่ไม่ต่ำกว่า 36% เพื่อให้Lotusสามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเองในการขยายธุรกิจยา
นอกจากนี้ ปตท.เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ 2ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3ปี ดอกเบี้ย 2.1% สำหรับนักลงทุนรุ่นเริ่มออม(ยุคคลธรรมดาที่มีอายุระหว่าง 20-45ปี)และหุ้นกู้ชุดที่ 2อายุ 7ปี อัตราดอกเบี้ย 2.5% สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผู้ลงทุนกลุ่มมูลนิธิ องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร คาดเปิดจองในวันที่ 5-8 กันยายน 2568
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO