ข่าวปลอมชวนลงทุน จากกลยุทธ์ดิจิทัลสู่บาดแผลทางการเงินของผู้บริโภค
กระแสหลอกลงทุนที่ขยายตัวไม่หยุด
บนหน้าจอโซเชียลมีเดียที่หมุนเวียนเนื้อหาอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้จำนวนมากตกเป็นเป้าหมายของโฆษณาชวนลงทุนที่สัญญาผลตอบแทนสูงเกินจริง บ่อยครั้งตัวเลขถูกโฆษณาว่ามีกำไรต่อเนื่องถึงร้อยละ 30 ต่อเดือน ขั้นตอนมักเริ่มจากการกดลิงก์ใน Facebook หรือ TikTok เพิ่มเพื่อนใน LINE และถูกล่อให้โอนเงินเข้าระบบลงทุนปลอม ในบางคดี ความเสียหายสูงถึง 60 ล้านบาทในครั้งเดียว
อีกหลายกรณีมีการจ่ายผลตอบแทนในช่วงแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น แต่เมื่อยอดลงทุนสูงขึ้น ผู้ลงทุนกลับไม่สามารถถอนเงินได้ และถูกเรียกเก็บ “ค่าภาษี” หรือ “ค่าดำเนินการ” เพิ่ม สุดท้ายสูญเสียเงินทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกรณีใน TikTok ที่หลอกให้เข้ากลุ่มไลน์เพื่อทำภารกิจรีวิวสินค้า อ้างว่าจะได้รับค่าคอมมิชชั่น ก่อนปิดช่องทางการติดต่อและเก็บเงินไป
เทคโนโลยีที่ทำให้ความเชื่อถือกลายเป็นเครื่องมือหลอกลวง
ขบวนการเหล่านี้ใช้เทคนิคหลากหลาย ทั้งการสร้าง Influencer ปลอม วิดีโอ Deepfake ของบุคคลมีชื่อเสียง และเว็บไซต์ที่ออกแบบให้เหมือนธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์จริง กราฟผลกำไรและสเตทเมนต์ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักฐานหลอกตา บางครั้งถึงขั้นแอบอ้างโลโก้ของหน่วยงานรัฐและ ก.ล.ต. เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
ข้อมูลจากสำนักงาน ก.ล.ต. ระบุว่าในเดือนพฤศจิกายน 2566 เพียงเดือนเดียว มีการปิดบัญชีหลอกลงทุนได้ 175 บัญชีจาก 202 บัญชีที่มีการแจ้ง ส่วนใหญ่เป็นบัญชี Facebook ซึ่งคิดเป็นอัตราสำเร็จร้อยละ 86.6 ขณะที่การปิดกั้นบัญชีทั้งหมดใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 7 นาทีถึง 48 ชั่วโมง
ภาพรวมสถิติและมูลค่าความเสียหาย
ศูนย์ AOC (Anti Online Scam Operation Center) รายงานว่าช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงพฤษภาคม 2567 มีการรับแจ้งกรณีหลอกลงทุน 29,850 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 17.38 ของสแกมออนไลน์ทั้งหมด เป็นรองเพียงการหลอกซื้อขายสินค้า (ร้อยละ 30.54) และการหลอกหารายได้พิเศษ (ร้อยละ 22.59)
หากมองในภาพรวมระยะยาว ปี 2566 คดีแชร์ลูกโซ่และหลอกลงทุนในไทยมีมูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 47,000 ล้านบาท โดยมีคดีที่ศาลพิพากษาให้ชดใช้รายใหญ่ถึง 356 ล้านบาท ในปี 2567 ก.ล.ต. รับแจ้งเบาะแสหลอกลงทุนแล้ว 5,057 ครั้ง ปิดกั้นบัญชีได้สำเร็จ 2,940 บัญชี คิดเป็นอัตราสำเร็จ 99.1% และพบว่าแพลตฟอร์มที่ใช้มากที่สุดคือ TikTok (ร้อยละ 50.6) และ Facebook (ร้อยละ 44.4)
ในช่วงต้นปี 2568 เพียงเดือนมกราคม ศูนย์ AOC รับสายแจ้งเหตุอาชญากรรมออนไลน์เฉลี่ยวันละ 3,149 สาย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 20 ล้านบาท และสามารถระงับบัญชีม้าได้เฉลี่ยวันละ 1,186 บัญชี
ผลกระทบที่เกินกว่าตัวเลข?
ความเสียหายจากข่าวปลอมชวนลงทุนไม่ได้หยุดแค่ตัวเลขเงินที่สูญไป สิทธิด้านความปลอดภัยทางการเงินและข้อมูลส่วนบุคคลถูกละเมิด ผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยไม่กล้าร้องเรียนเพราะกลัวถูกมองว่าขาดวิจารณญาณ ส่งผลให้การติดตามคดีล่าช้าและเปิดช่องให้มิจฉาชีพทำงานต่อไป ความไม่มั่นใจในตลาดการเงินยังอาจปิดโอกาสการลงทุนที่ถูกต้องของผู้บริโภคในอนาคต
บทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภค
ในสถานการณ์นี้ สภาผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการให้คำปรึกษา รับเรื่องร้องเรียน และประสานงานกับหน่วยงานอย่าง สคบ. ก.ล.ต. และปอท. เพื่อเร่งปิดกั้นบัญชีและสื่อโฆษณาหลอกลวง รวมถึงทำงานเชิงรุกด้านการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความรู้เท่าทันแก่ประชาชน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 5 ปีของสภาฯ ที่เน้นการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างรอบด้าน
ทางออกที่ต้องลงมือร่วมกัน
การป้องกันเริ่มจากการตรวจสอบชื่อโครงการและใบอนุญาตผ่านเว็บไซต์ ก.ล.ต. หลีกเลี่ยงข้อเสนอที่การันตีผลตอบแทนสูงผิดปกติ และใช้หลัก “หยุด สงสัย สอบถาม” ก่อนโอนเงิน เครื่องมือออนไลน์อย่างการค้นหาภาพย้อนกลับหรือการตรวจเลขบัญชีในฐานข้อมูลกลางของ AOC สามารถช่วยกรองความเสี่ยงได้
หากสังคมไทยสามารถยกระดับการรู้เท่าทันข่าวปลอมและการหลอกลงทุนได้ในวงกว้าง ภัยเศรษฐกิจครัวเรือนรูปแบบนี้ก็จะมีพื้นที่น้อยลง และสิทธิของผู้บริโภคจะได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง
ที่มาของข้อมูล
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (AOC)
สภาองค์กรของผู้บริโภค
ข้อมูลสรุปโดย TNN
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- รูปภาพ AI คลิป Deepfake สลิปโอนเงินปลอมแยกให้ออกอันไหนจริง - ปลอม
- ปลุกอารมณ์-ข่าวปลอม อินฟลูเอนเซอร์ในห้วงความขัดแย้ง เกิดขึ้นได้อย่างไร ควรมีกฎหมายกำกับหรือไม่ ?
- กองทัพบกโต้ข่าวปลอมกัมพูชา ยันไม่มีอพยพหรือปิดโรงเรียนบ้านด่าน
- ข่าวปลอมล่าสุด! อันดับ 1 กรมศิลป์ อนุญาตทำลายปราสาท เพื่อประโยชน์ทางทหาร
- ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จับมือ แพลตฟอร์ม เคาะ 5 มาตรการปราบ “เฟคนิวส์”