สถาบัน KAPI จับมือ ‘เค-เอพีไอ’ ปั้นผู้ประกอบการหน้าใหม่ผ่านหลักสูตร ‘TEBC 2025’
ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ ผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAPI) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่าการสกัดสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ จากของเหลือทิ้งทางการเกษตร พวกเมล็ด หรือเปลือกผลไม้ เป็นใน 1 ในภารกิจหลักของสถาบัน KAPI ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 34 เพื่อเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งทางการเกษตร และอุตสาหกรรมเกษตร ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้จากการวิจัยและพัฒนาในด้านดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถาบันฯ มีจุดเด่นอยู่ที่การวิเคราะห์ ทดสอบหรือวิจัยแบบครบวงจร ตั้งแต่การควบคุมวัตถุดิบต้นน้ำ แม้ว่าจะมาจากของเหลือทิ้งก็จำเป็นต้องรู้วิธีจัดเก็บให้ยังคงมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ มีวิธีการสกัดทั้งในระดับห้องปฏิบัติการขนาดเล็กเพื่อทดสอบแนวคิด และต่อยอดศึกษาในระดับโรงงานกึ่งต้นแบบ หรือกึ่งอุตสาหกรรม เพื่อประเมินค่าความเป็นไปได้หรือศักยภาพเชิงพาณิชย์ ซึ่งสถาบันมีร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสร้างเครือข่ายเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่ผู้ประอบการ
“จากจุดเริ่มต้นผลงานการสกัดสารสำคัญ ในเปลือกมังคุดที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา พัฒนามาเป็นผลิตภัณฑ์เจลแต้มสิวจากเปลือกมังคุดตัวแรก ในยุคที่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสารสกัด ธรรมชาติ กำลังได้รับความนิยม สถาบันมีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสารสกัดจากของเหลือทิ้งทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีสารสกัดที่ผ่านการวิจัยและพัฒนา พร้อมให้ผู้ประกอบการนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์แล้วมากกว่า 50 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อ หรือว่าเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง และในขณะนี้กำลังศึกษาสารที่ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ในระดับต่าง ๆ ซึ่งอาจมีฤทธิ์ในการป้องกันหรือยับยั้งการก่อเซลล์มะเร็งในตำแหน่งต่างๆ ได้”
ดร.พิลาณี กล่าวด้วยว่าเนื่องจากสถาบันฯ มีการพัฒนาองค์ความรู้และสร้างเป็นนวัตกรรมได้ส่วนหนึ่ง แต่มีอีกส่วนหนึ่งที่สถาบันฯ ต้องการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ แต่ยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่คิดจะสามารถทำให้เป็นจริงได้ หรือมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนในเชิงของการปฏิบัติจริง จึงเป็นที่มาของหลักสูตรอบรมต่างๆ
ล่าสุด สถาบันฯ ร่วมกับบริษัท เค-เอพีไอ จำกัด จะจัดการอบรม “หลักสูตรการสร้างผู้ประกอบด้านนวัตกรรมสมุนไพร เพื่อสุขภาพและเครื่องสําอาง รุ่นที่ 5 “(Thailand Entrepreneur in Bio Cosmetic 2025: TEBC 2025) ระหว่างวันที่ 23 ส.ค.- 14 ก.ย.68 (อบรมเฉพาะเสาร์-อาทิตย์) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้และการปฏิบัติการสำหรับผู้ประกอบการนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงผู้สนใจที่อาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำธุรกิจอะไร หรือรู้แล้ว แต่ต้องการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งหลักสูตรจะเน้นที่การใช้งานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆ และสร้างความเข้าใจในด้านการตลาดให้กับผู้ที่มารับการอบรม
ทั้งนี้สถาบันฯ มีการสร้างเครือข่ายครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนกระทั่งสู่เชิงพาณิชย์ และได้รวบรวมองค์ความรู้ทุกอย่างที่สะสมมากว่า 10 ปี เข้ามาอยู่ในหลักสูตรนี้ ผู้ประกอบการจะเข้าใจถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม รู้ถึงเทรนด์ปัจจุบันว่า มีการใช้งานวิจัยหรือนวัตกรรมใดในการประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ ให้ความรู้ด้านมาตรฐานต่างๆ ที่ผู้ประกอบการต้องมีก่อนที่จะส่งต่อไปยังผู้บริโภค และการต่อยอดเชิงธุรกิจที่ทุกสิ่งทุกอย่าง จะจบลงด้วยความคุ้มทุนในหลักสูตร โดยจะมีนักวิจัยจากสถาบันฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจความงาม แห่งวงการเครื่องสำอางมาให้ความรู้ทางด้านการสร้างแบรนด์ การสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น การจัดการทางบัญชีและโครงสร้างธุรกิจ เพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจที่เป็นระยะยาว หลักสูตรนี้นอกจากจะสอนโดยการบรรยายและทำเวิร์กชอปแล้ว ยังได้เข้าร่วมกิจกรรม Networking ลงพื้นที่ดูงานสถานที่จริง และการ Pitching ผลงาน เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจอีกด้วย ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองจาก สถาบันผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KAPI) และ บริษัท เค-เอพีไอ จำกัด (K-API)
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพ ผู้อำนวยการสถาบัน KAPI กล่าวว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และมีการแข่งขันสูง ปัจจุบันผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น ผู้ผลิตสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจะค่อยๆ หายไปจากการคัดเลือกของผู้บริโภค ซึ่งราคาอาจไม่ใช่ทางเลือกแรก แต่เป็นการมองหาคุณภาพที่เกิดขึ้นจริง ขณะเดียวกันทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านนี้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีการผสมสารสกัด การนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ผู้ประกอบการควรจะมีความรู้ในการสอบทวน หรือทดสอบสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ด้วยว่า ยังคงมีฤทธิ์ตามที่ระบุหรือไม่ นอกจากนี้เทรนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้เปลี่ยนไวมาก โดยผลิตภัณฑ์มีวงจรชีวิต แค่ประมาณ 6 เดือน ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและวางแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ทัน รวมถึงต้องอัปเดตแนวโน้มที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ
ทางด้าน นายวุฒิพงษ์ ผาณิตเศรษฐกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีไอบีดี จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เค-เอพีไอ จำกัด เปิดเผยว่า การอบรมหลักสูตร TEBC 2025 จัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 5 โดยเป็นการทำงานร่วมกัน ระหว่าง บ. ทีไอบีดี กับ สถาบัน KAPI และมีความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง จนปลายปี 67 ม.เกษตรมีนโยบายผลักดันการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย และได้จัดตั้ง “บริษัท เค-เอพีไอ จำกัด” ขึ้น โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท เคยูนิเวิร์ส จำกัด บริษัทในเครือของ ม.เกษตร และบริษัท ทรัพย์ ไบโอเทค จำกัด บริษัทในเครือ ทีไอบีดี โดยมีภารกิจหลักคือ การรับถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสารออกฤทธิ์ทางธรรมชาติ เพื่อไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ และมุ่งเป้าสู่การเป็น “ผู้ผลิตสาระสำคัญมูลค่าสูงเข้าสู่อุตสาหกรรม” ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และรวมถึงกลุ่มที่เป็นยาสมุนไพรในอนาคต
ปัญหาในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ในปัจจุบันคือ โรงงานรับจ้างผลิต หรือ OEM เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ด้วยการลงทุนที่ไม่สูงมาก ทำให้ทุกคนสามารถออกแบรนด์สินค้าได้อย่างรวดเร็ว เกิดการแข่งขันสูง สินค้าล้นตลาดและเป็นสินค้าที่มีแนวคิดเหมือนๆ กัน จากคำแนะนำของโรงงานผลิต ถือว่าเป็นการหลงทางของผู้ที่กระโดดเข้าสู่วงการนี้ ดังนั้นความเข้าใจในเรื่องของธุรกิจความงามและสุขภาพ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก ตนจึงตัดสินใจจะผลักดัน เรื่องการทำหลักสูตรนี้ขึ้นมา เพื่อคนที่ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้มาก่อน ควรปูพื้นฐานให้รู้ว่า การทำธุรกิจเครื่องสำอางไม่ใช่แค่ซื้อมาขาย แต่มีกระบวนการของการพัฒนาตั้งแต่กระบวนการสกัด Active Ingredient การคำนวณต้นทุน การทำโครงสร้างราคา การวางโครงสร้างของตัวธุรกิจ เข้าใจวิธีการทำแบรนด์ หรือช่องทางการจัดจำหน่าย และควรจะรู้ว่า นักวิจัย หรือคนที่เขาจะมาช่วยสนับสนุนให้แบรนด์ของคุณมีความแข็งแรง คุณควรจะติดต่อและเชื่อมโยงกับเขาอย่างไร”
สำหรับเทรนด์ Active Ingredient ในอนาคตที่กำลังมา นายวุฒิพงษ์กล่าวว่าจะเป็นเรื่องของ Clean Beauty ความปลอดภัย ลดการใช้สารเคมีอันตราย Green Beauty เทคโนโลยีสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมี COSMOS เป็นมาตรฐานด้านออแกนิกระดับสากล และ Longevity Cosmeceuticals หรือการมุ่งสู่การทำเวชสำอางชะลอวัย หากเข้ามาในหลักสูตรดังกล่าวจะสอนถึงวิธีการที่จะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ สามารถเข้าใจกระบวนการ มีภูมิคุ้มกันและมีวิธีคิดแบบที่ยั่งยืนมากขึ้น สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมอบรม “หลักสูตรสตาร์ทอัพเพื่อนวัตกรรมธุรกิจความงาม” TEBC SEASON 5 สมัครได้ถึงวันที่ 20 ส.ค.68 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร. 062 494 1516