รมช.คลังคาด จีดีพีปีนี้จะขยายตัวเกิน 2.2% ผลพวงภาษีทรัมป์ได้เปรียบคู่แข่ง
#ทันหุ้น รมช.คลังคาด จีดีพีปีนี้จะขยายตัวเกิน 2.2% ผลพวงภาษีทรัมป์ได้เปรียบคู่แข่ง ดันส่งออกขยายตัว บวกปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ระบุ พื้นที่การคลังและการเงินยังมี หนี้สาธารณะโตช้ากว่าจีดีพี
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวมั่นใจว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ จะมากกว่า 2.2% ที่เป็นตัวเลขคาดการณ์เดิมของกระทรวงการคลัง จากผลของ Reciprocal Tariff ของไทยที่มีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและอยู่ในอัตราที่ได้เปรียบประเทศคู่แข่งขัน
ทั้งนี้ เขากล่าวภายหลังการปาฐกถาในงาน Thailand Focus 2025ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและว่า จากการคาดการณ์จีดีพีของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เมื่อ30 ก.ค.นี้ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.2 % อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่า จะมีการปรับการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก ในการคาดการณ์ครั้งต่อไป เพราะตัวเลขต่างๆที่อยู่ในมือเราออกมาดี มีแนวโน้มปรับคาดการณ์ขึ้น
เขากล่าวว่า ก่อนที่จะมีการประกาศอัตรา reciprocal tariff ที่ไทยได้รับในอัตรา 19% นั้น หลายสำนักที่พยากรณ์เศรษฐกิจไทย ได้ลดตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยลงประมาณ 1% แต่ Reciprocal tariff ผลที่ออกมาเป็นบวกต่อประเทศไทย อย่าลืมว่าการดูความสามารถในการแข่งขันในเรื่องการส่งออก เราดูจากเทียบกับประเทศที่เราแข่งขันด้วย ซึ่งตัวอัตราภาษีนั้นเราไม่แพ้ ดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ และอีกสิ่งที่ดีกว่าคือ ในเรื่อง Regional Value Content (RVC) ซึ่งประเทศไทย เป็นประเทศที่มีการผลิตในประเทศสูง ดังนั้น โอกาสที่เราจะได้ภาษีตัวต่ำ เป็นสัดส่วนสูงกว่าประเทศคู่แข่งขันของเรา ทำให้ผู้ส่งออกไทยมีความได้เปรียบในเชิงราคามากกว่า
“ต่างๆเหล่านี้ทำให้ปัจจัยลบในช่วงแรกๆ ได้ผ่อนคลายไปเยอะ และตัวเลขต่างๆที่ออกมามีแนวโน้มในเชิงดี ประกอบกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ช่วยเสริม” นายเผ่าภูมิ กล่าว
เขากล่าวอีกว่า ตัวเลขการส่งออกของไทยดีมาโดยตลอด จะชะลอตัวลงในครึ่งหลังของปีนี้เล็กน้อย แต่ถ้าดูในตัวจีดีพีครึ่งปีแรกเราดีมากเฉลี่ยที่ 3 % ครึ่งปีหลังแน่นอนว่าต่ำกว่า 3 % แต่โดยเฉลี่ยจีดีพีทั้งปีจะมากกว่าคาดการณ์ที่ 2.2%
ส่วนมาตรการกระตุ้นการคลัง เรามีมาตรการกระตุ้นออกมาก้อนใหญ่มาก คือ 1.57 แสนล้านบาท ขณะนี้ถูกใช้ไป 1.3 แสนล้านบาท อันนี้เป็นมาตรการทางการคลังก้อนใหญ่มาก ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ของปีนี้และไตรมาสที่หนึ่งของปีหน้า
ในด้านFiscal Space หรือพื้นที่ทางการคลังนั้น ปัจจุบันระดับ หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของรัฐบาล ล่าสุดอยู่ที่ 64% เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือน หมายถึงว่าหนี้โตช้ากว่าจีดีพี ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี ขณะที่ พื้นที่ทางการเงินยังเหลืออยู่
ส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ของรัฐบาล ปัจจุบันอยู่ที่ 9% ต่ำกว่า 10% อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย ส่วนแนวโน้มอาจมีการเพิ่มขึ้นจากภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้อยู่ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น จะทำให้ตัวภาระดอกเบี้ยต่อรายได้ สามารถดำรงอยู่อย่างไม่มีปัญหา
เขากล่าวด้วยว่า สถาบันจัดอันดับเครดิต ไม่ได้ดูในเรื่องภาระดอกเบี้ยตัวเดียว แต่ดูในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ ความสามารถในการเดินไปข้างหน้าของประเทศ ,โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน , ดูพื้นที่ทางการคลังและการเงิน , ดูนโยบายหลักของรัฐบาล และดูการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นต้น
เขายังกล่าวถึงตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI)ว่า จากตัวเลขของบีโอไอพบว่า การลงทุน FDI ในปีนี้ ถือว่าเป็นตัวเลขที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ต่อจากนี้รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนในเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่ใช่ภาษีต่างๆ ต้องทำให้น่าดึงดูดยิ่งขึ้น เช่น ที่รัฐบาลทำ ร่างกฎหมายไฟแนนเชียลฮับ ซึ่งเป็นหนึ่งหมุดหมายที่จะใช้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ จะเข้าสภาฯวาระหนึ่งไม่เกินสองสัปดาห์จากนี้
ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการใส่เม็ดเงินทางการคลัง เข้าไปในส่วนที่อีกไม่กี่เดือนที่เหลือเราใส่การกระตุ้นเศรษฐกิจไปค่อนข้างสูง ส่วนครึ่งปีหลังจะใส่เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไปอีกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่มีความเป็นไปได้
สำหรับเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของ กนง.นั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า มันมี Space ที่สามารถปรับลดลงได้อีก แต่อยู่ที่ความเหมาะสม ให้เป็นหน้าที่ของ กนง.
ส่วนปัญหาการเมืองกับความเชื่อมมั่นต่อเสถียรภาพของรัฐบาลนั้น เขากล่าวว่า รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า อยู่ครบวาระ ไม่มีประเด็นที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่น และทุกนโยบายจะเดินหน้าไปสู่ปลายทางของมัน ทุกกระทรวงมีหน้าที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง