ชำแหละโครงสร้างตลาดหุ้นไทย รายย่อยแพ้ทาง HFT ทุกมิติ เสียงเตือนใกล้ล้นตลาด
ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยเริ่มสั่นคลอน จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในระบบการซื้อขาย หนึ่งในปัจจัยหลักคือบทบาทของ “High-Frequency Trading” (HFT) หรือการเทรดอัตโนมัติความถี่สูง ที่กำลังกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ของตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายของโปรแกรมเทรดในบางหลักทรัพย์ เช่น HMPRO สูงถึง 53.14% ของทั้งวัน โดยส่วนใหญ่เป็น HFT ทั้งสิ้น
ขณะที่ “นักลงทุนรายย่อย” กลับต้องเผชิญต้นทุนที่สูงกว่าอย่างชัดเจน
- รายย่อยทั่วไป ค่าคอมฯ 0.15–0.25% เครื่องมือไม่มี ความเร็วต่ำ ไม่มีสิทธิพิเศษ
- รายใหญ่ ค่าคอมฯ 0.10–0.15% เครื่องมือมีบางส่วน ความเร็วปานกลาง สิทธิพิเศษมีทีมวิเคราะห์
- กองทุน ค่าคอมฯ 0.05–0.12% เครื่องมือ DMA + Algo ความเร็วสูง สิทธิพิเศษ Multi-account
- HFT/โปรแกรมเทรด ค่าคอมฯ <0.01% เครื่องมือ Co-location ความเร็วสูงมาก แมทช์ในมิลลิวินาที
พฤติกรรมการ “วนเทรด” หรือเทรดหลายรอบด้วยหุ้นจำนวนน้อยแต่สร้างวอลุ่มมาก เป็นกลไกหนึ่งที่ถูกวิจารณ์ว่าอาจกดดันราคาหุ้นได้อย่างผิดธรรมชาติ หากทำโดยผู้ไม่มีหุ้นอยู่จริง หรือทำเพื่อลวงตาตลาด ซึ่งหากเป็นนักลงทุนทั่วไปทำ อาจเข้าข่ายปั่นหุ้น แต่ HFT กลับไม่ถูกจำกัดในลักษณะเดียวกัน
นักลงทุนและเพจการเงินหลายแห่ง เช่น “การลงทุนเพื่อเกษียณอย่างมีความสุข” เรียกร้องให้ผู้กำกับดูแลพิจารณาปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม เช่น การขึ้นค่าคอมมิชชั่น HFT ให้สูงกว่าปกติ (คล้ายจีน) เพื่อลดแรงจูงใจในการเทรดวนแบบความเร็วสูง
ข้อเสนอเหล่านี้ชี้ว่า หากปล่อยให้ HFT คุมเกมต่อไป รายย่อยจะหายจากระบบเรื่อย ๆ และสุดท้าย “เหยื่อหมด ตลาดหยุด”
สัญญาณเตือนชัดเจนขึ้นทุกวัน!!!
สัดส่วนของ HFT เพิ่มจาก 30% → 40% → ล่าสุดทะลุ 50%
แต่วอลุ่มตลาดรวมกลับลดลงต่อเนื่อง…นักลงทุนกำลังหายไปทีละกลุ่ม
…อีกด้าน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาตรการเพื่อยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนกลุ่ม High-Frequency Trading (HFT) สามารถซื้อหลักทรัพย์ได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อลดความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กที่อาจไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างเพียงพอ
ห้าม HFT เทรดหุ้นนอก SET100 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยกำหนดหลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุนกลุ่ม HFT สามารถซื้อได้ ดังนี้ หลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญ รวมถึงหลักทรัพย์ที่บุคคลต่างด้าวเป็นผู้ถือ (-F) และ NVDR ได้แก่ หุ้นในดัชนี SET100 หุ้นอ้างอิงของ DW และ Single Stock Futures ที่อยู่ในดัชนี SET100
ทั้งนี้ หากหุ้นอ้างอิงดังกล่าวถูกนำออกจากดัชนี SET100 ให้ซื้อหุ้นอ้างอิงนั้นต่อได้จนกว่า DW จะหมดอายุ หรือ Single Stock Futures ไม่ได้มีการซื้อขายอยู่ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้วหลักทรัพย์ประเภทอื่น ได้แก่ DW, DR และ ETF
อึ้ง! ไม่สนผลเฮียริ่ง
คนในแวดวงตลาดทุนงงเป็นไก่ตาแตก เพราะในการเปิดรับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้อง (Public Hearing) ปรากฏว่า ทั้งโบรกฯและกองทุนเสนอให้ห้ามขายชอร์ต และอนุญาตให้ใช้โรบอทเทรด (HFT) เฉพาะหุ้นใหญ่25 ตัวแรก หรือ SET50 เท่านั้น
…แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯให้ชอร์ตและเปิดทางให้บอทเทรด HFT ได้ในหุ้นใหญ่ทั้ง SET100 (โดยเพิ่มเติม DW DR ด้วย)
อึ้งมั้ยล่ะ!