โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ยานยนต์

Toyota Blade Master เมื่อพี่โตฯทำแฮทช์แบ็คโครงสร้าง Altis ที่วางเครื่อง V6 3.5

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ในปัจจุบัน หากถามถึงแฮทช์แบ็คญี่ปุ่นตัวแรง แน่นอนว่าฝั่ง Honda ก็ต้อง Civic FL5 Type-R ฝั่ง Toyota ก็ต้อง GR Corolla ซึ่งต่างคนต่างก็มีจุดเด่นคนละแบบ แต่การทำรถสไตล์ Performance Model จากพื้นฐานของรถขนาดเล็กในไลน์อัพนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในโลกของค่ายสามห่วง ย้อนกลับไปราว 18 ปีก่อน พวกเขาเคยพยายามสร้างรถพื้นฐาน Corolla ที่มีพละกำลังแรงม้าเหนือกว่ารถร่วมสมัยอย่าง VW Golf R32 และ Civic Type-R และนี่คือรถอีกรุ่นที่คนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่า Toyota ก็เคยทำขาย

ถ้าพูดถึง Corolla หรือ Altis ผมเชื่อว่าคนในบ้านเรา 80% จะนึกถึงรถซาลูนขนาดกระทัดรัดซึ่งเป็นคู่ใจคนหาเช้ากินค่ำ พนักงานราชการ รัฐวิสาหกิจ คนทั่วไป ตลอดจนพี่ๆแท็กซี่ ซึ่งเวลาเราพูดถึงเรื่องความเซ็กซี่ Corolla จะเหมือนผู้ชายหน้าตาธรรมดาไม่ค่อยดึงดูดเพศตรงข้าม แถมชอบทำตัวแก่ไม่ทันโลกไม่ทันสมัย แต่เป็นคนที่อดทน สู้ชีวิต ไม่เหนื่อยง่าย ไม่จู้จี้ขี้บ่น กินอยู่ง่ายไม่ใช้เงินเปลือง ด้วยคุณสมบัติแบบนี้คนที่ทำอาชีพที่มีรถเพื่อ “ใช้” ไม่ได้มีไว้เพื่อ “โชว์ฐานะ” จึงมักเลือก Corolla เป็นอันดับต้นๆ แต่ในบางครั้ง Toyota เองก็พยายามจะหาวิธีเสริมความเซ็กซี่ให้คนเห็นแล้วหวีดวิ้วรถตระกูล Corolla บ้าง

ในอดีตพวกเขาก็เอาโครงสร้างหลักและเครื่องยนต์ของ Corolla ไปสวมเปลือกนอกสวยๆอย่าง Sprinter Marino หรือทำเป็นรุ่นคูเป้อย่าง Sprinter Trueno/Corolla LEVIN แต่ต่อมาตลาดรถคูเป้ขับหน้าในญี่ปุ่นค่อยๆทยอยตายลงหลังเปลี่ยนศตวรรษและบริษัทญี่ปุ่นก็เริ่มรัดเข็มขัดตั้งแต่หลังฟองสบู่แตก จำนวนรถที่เคยมีหลายรุ่นก็ถูกยุบรวบกันไป ทำให้ Corolla ไม่ค่อยมีรถแปลกๆแรงๆออกมาอีกเลย จนกระทั่งใครบางคนใน Toyota อยากลองอะไรแปลกๆดู

เริ่มต้นด้วยการนำรถ Toyota Auris ซึ่งก็คือเวอร์ชั่น 5 ประตูท้ายตัดของ Corolla Altis หน้าแบนแบบที่ขายในบ้านเรานั่นล่ะครับมายำต่อ บอดี้ Auris ที่ขายญี่ปุ่นจะเป็นบอดี้แบบกว้างเท่ารถไทยคือ 1.76 เมตรครับ ในขณะที่รุ่น 4 ประตูญี่ปุ่นที่ชื่อ Axio นั้นจะกว้างแค่ 1.695 เมตร Auris นั้นจะมีหน้าตาจืดๆ เพราะเป็นแฮทช์แบ็คสำหรับตาสีตาสาขับ หรือไม่ก็เป็นรถเช่า จึงมีแค่เครื่อง 1.5 ลิตร 109 แรงม้า กับ 1.8 ลิตร 144 แรงม้า ช่วงล่างหลังเป็นคานบิดทอร์ชั่นบีมธรรมดา จากนั้นก็เริ่มปรุงให้เป็นรุ่น Blade โดยมีตำแหน่งทางการตลาดเหมือน “Auris สำหรับคนที่ชอบหรูและแรงขึ้น” ดังนั้นตัวรถจึงมีส่วนหน้าและท้ายที่แตกต่าง โดยด้านหน้าของ Blade นั้นจะลอกเส้นสายมาจากรถใหญ่อย่าง Crown ตัวถัง S204

Toyota Blade เปิดตัวครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี 2006 ห่างจาก Auris ไม่นานนัก มีให้เลือกสองขุมพลังคือรุ่น 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ 2AZ-FE 167 แรงม้า/224 นิวตันเมตร ประกบเกียร์ CVT ที่มีโหมดซอยอัตราทดเป็น 7 จังหวะ ส่วนรุ่นที่แรงผิดปกติ จะมีชื่อรุ่นว่า Blade Master เจ้านี่ล่ะคือตัวแสบ เพราะในขณะนั้น Toyota เลิกประกอบเครื่อง 3S-GTE เทอร์โบไปแล้วเพราะมาตรฐานมลภาวะไม่ผ่าน และยังไม่มีเครื่องยนต์ 4 สูบแบบไหนที่แรงในระดับที่เอาไปแข่งกับเครื่อง K20A ของ Honda หรือเครื่อง 2.3 เทอร์โบของ Mazdaspeed ได้เลย ลำพัง Toyota ขณะนั้นมีแค่เครื่อง V6 ตระกูล GR ที่อยู่ในรถหลายรุ่น เวอร์ชั่นวางตามยาว มักเป็นเครื่อง Direct Injection และมีเครื่องแบบวางขวางสำหรับรถขับหน้า หัวฉีดแบบปกติ อย่างเครื่อง 2GR-FE ที่ปกติจะอยู่ใน Camry V6 3.5Q (ซึ่งในไทยเคยมีขาย) และ RAV4 V6

สเป็คของเครื่องรุ่นนี้ ก็ดูแรงกว่ารถปกติอยู่แล้วด้วยความจุกระบอกสูบ 3,456 ซีซี. ของมัน มีระบบ VVTi และพอมาอยู่ใน Blade Master มันสร้างพลังได้ 280 แรงม้า กับแรงบิด 344 นิวตันเมตร (แต่ต้องเติมน้ำมันพรีเมียม High Octane นะครับ ถ้าเติมน้ำมันเบนซินปกติจะเหลือ 268 แรงม้า) และมักจะประกบกับเกียร์อัตโนมัติปกติ 6 จังหวะเป็นหลักเพราะเดิมทีมันไม่ใช่เครื่องยนต์สาย Performance แค่เป็นเครื่องแรงกว่าปกติไว้เอาใจตลาดฝรั่งตีนผีอย่างพวกอเมริกันและออสซี่ คนไทยบางคนเคยขับ Camry V6 3.5Q จะรู้ว่าในยุคของมัน พลังความแรงในบอดี้เสี่ยกลางของ Camry ก็แรงเกินช่วงล่างเดิมๆของรถไปมากแล้ว แต่พอมาอยู่ในบอดี้ Blade มันคืออีกเรื่องหนึ่ง

จุดดี ก็คือบอดี้แฮทช์แบ็คเล็กๆนี่ล่ะครับ ที่มันเบากว่า Camry กับ RAV4 อยู่พอสมควร Camry 3.5Q น้ำหนักประมาณ 1.6 ตัน ส่วน Blade Master G รุ่นที่มีอุปกรณ์ครบจะหนัก 1.48 ตัน เซฟไปราว 120 กิโลกรัมจากบอดี้ที่เล็กนี้ และใช้ล้อและยางขนาด 225/45R17 บวกกับเกียร์อัตโนมัติ ทำอัตราเร่งที่ Toyota เคลมไว้ว่า 0-100 จบภายใน 5.8 วินาที คือแรงแบบไล่ฆ่าพวก Toyota Aristo Twin-Turbo รุ่นพี่จากยุค 90s ได้เลย และเร็วกว่า Honda Civic Type-R FD2, VW Golf MK5 R32 หรือ Mazdaspeed Axela (ก็คือ Mazda 3 รุ่นแรงพิเศษ) ได้

ผมไม่เคยขับ Blade สักรุ่น เพราะมันเป็นรถหายาก และตอนเปิดตัวก็มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น แต่เคยขับ Camry V6 3.5Q แล้วก็พอจินตนาการได้ว่าเรื่องแรงทางตรงหายห่วงแหละครับ แล้ววิธีการเอาเครื่องบ้านๆบล็อกโตแรงเยอะมาอยู่ในรถเล็กๆเบาๆนี้มีข้อดีอีกอย่างคือ เครื่องรถบ้านมันมักจะไม่ต้องการการดูแลแบบรถ Performance car และไม่ได้ใช้รอบสูงมากนัก ความทนทานจึงสูง แต่แน่นอนว่าพอ 3.5 ลิตรปุ๊บ มันก็ต้องกินน้ำมันดุเป็นธรรมดา สิ่งที่นักข่าวต่างประเทศสมัยนั้นชอบก็คือ คาแร็คเตอร์รถเล็กเครื่องโต แถมเป็น V6 ดังนั้น สุ้มเสียงจึงทุ้มนวลคล้ายรถผู้ใหญ่ ทางเยอรมันก็มี Golf VR6 2.8 ที่ใช้สูตรนี้มาก่อนกาลนานนม และลามมาถึง Golf R32 ด้วยเช่นกัน

แต่ถ้าเป็นเรื่องการบังคับควบคุม แหะ แหะ..ผมแปลที่นักข่าวท่านหนึ่งเขียนแล้วโคตรชอบ..Blade Master นั้น ถ้าเจอถนนเปียกเมื่อไหร่ ให้นึกภาพคุณไล่ตะเพิดหมาลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ให้ตกกะใจแล้ววิ่งไปบนพื้นหินอ่อนเปียกๆ นั่นล่ะอาการไม่ต่างกัน มันแค่ให้ความรู้สึกว่าทุกอย่างหนักไปหมด รถไม่ค่อยอยากจะเลี้ยว ไม่ค่อยอยากจะทำตามคำสั่ง ถึงแม้วิศวกร Toyota จะเปลี่ยนช่วงล่างหลังจากทอร์ชั่นบีมมาเป็นดับเบิลวิชโบนแล้ว อัปสเตปเบรกหน้า/หลังแล้ว เปลี่ยนคอยล์สปริงและโช้คอัพใหม่แล้ว แต่หลายคนก็ยังบอกว่า รถก็ยังดูจะทำมาเน้นการขับสบายๆไปบนถนนมากกว่าที่จะเน้นสมรรถนะอย่างจริงจัง

ปัญหาของ Blade Master คือการเป็นรถที่น้ำหนักตกหน้าเยอะ ทำให้ Toyota ต้องทำ Weight Balancing ค่อนข้างมาก ตอนเป็น Auris 1.8 ธรรมดา บอดี้หนักแค่ 1.29 ตันเท่านั้น แต่พอเป็น Blade 2.4 ลิตร น้ำหนักกลายเป็น 1.4 ตัน และ Blade Master 3.5 ลิตรหนัก 1.48 ตัน โดย 80 กิโลกรัมที่เพิ่มมาคือน้ำหนักที่ลงบนคานหน้า และเมื่อขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีแรงบิดมหาศาล ยางหน้ากว้างแค่ 225 และเฟืองท้ายแบบปกติ ไม่มีลิมิเต็ดสลิปกลไก มีแค่ระบบ Traction Control ทำให้แม้จะออกตัวดีๆได้ แต่ประสิทธิภาพของรถในโค้ง ขาดความคมคายพร้อมไปตามสั่งแบบ Honda Type-R บนถนนเปียกก็แพ้ระบบขับสี่ 4-Motion ของ VW ดังนั้น Blade Master จึงเป็นรถที่แรงมากบนทางตรง แต่ควบคุมไม่ได้เรื่องบนทางโค้งแคบและสนามแข่ง ช่วงล่างและชุดแต่งที่ทำมาสำหรับ Auris ก็ไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดีเท่าที่ควร และช่วงล่างหลังที่ต่างกันก็ทำให้ต้องมีชุดแต่งช่วงล่างเฉพาะของมัน ซึ่งหายากมาก

Blade Master จำหน่ายอยู่ 6 ปี พอถึงปี 2012 ก็ยุติการทำตลาดไปอย่างเงียบๆ ในขณะที่ Auris ได้กำเนิดในเจนเนอเรชั่นต่อไป Blade ทั้งรุ่น 2.4 และ 3.5 จบชื่อของมันภายในเจนเนอเรชั่นเดียว เช่นเดียวกับรถแปลกๆหลายรุ่นที่ Toyota เคยลองทำแล้วไม่เวิร์ก เช่น Verossa ซีดานญี่ปุ่นดีไซน์แรงบันดาลใจจากอิตาลีที่คนอิตาเลียนกินไม่ลงและคนญี่ปุ่นก็ไม่ชอบ เป็นต้น ในภาพรวม คาดว่ามี Toyota Blade Master 3.5 จำหน่ายไปทั้งหมด 3,500 คัน ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น Golf R32 Mk5 ขายได้ 5,000 คันแค่ในอเมริกาอย่างเดียว และ Civic FD2 Type-R ขายได้มากกว่า 14,000 คัน

นั่นก็คงจะเป็นเหตุผลที่พอให้ Toyota ไม่ทำรถเล็กเครื่องปอดโตออกมาขายอีกเลยจนรอให้เทคโนโลยีเทอร์โบกับเครื่องอัลลอยน้ำหนักเบาเข้ามาช่วยจนสร้างรถอย่าง GR Corolla สำเร็จ แต่ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะ Toyota ไม่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชอบ Performance Car อย่างจริงจังได้ เพราะรถของคู่แข่งล้วนมีเทคโนโลยีหรือเอกลักษณ์ที่โดดเด่น Mazdaspeed มีเครื่องที่แรงมากจนต้องลดกำลัง 2 เกียร์แรกเอาไว้แต่ช่วงล่างก็สไตล์ Mazda ที่คมแต่ไม่ดิ้น Honda มี Type-R ซึ่งลำพังแค่มีตัว R แดงๆสาวกก็แทบจะแย่งกันซื้ออยู่แล้ว มีเครื่องยนต์รอบจัด เกียร์ธรรมดาและบาลานซ์ที่เน้นการขับแบบโหดๆชัดเจน VW Golf R32 ก็เน้นเทคโนโลยีเยอรมัน ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คุณภาพวัสดุภายในที่คนละเกรดกับของ Toyota (ช่วงนั้น VW บ้าเรื่องวัสดุพรีเมียมมาก)

ที่สำคัญคือราคาครับ..สำหรับรถที่มีบุคลิกเหมือนรถธรรมดา แต่เครื่องแรงอย่าง Blade Master กับ Honda FD-2 Type-R ทั้งสองรุ่นนี้ราคาตอนเปิดตัวอยู่แถวๆ 2.8 ล้านเยนเท่าๆกัน และถ้าเป็น Blade Master G ที่มีเครื่องเสียงและอุปกรณ์ครบหน่อยราคาจะพุ่งไป 3.3 ล้านเยน คุณจะเอา Toyota? หรือ Honda? อ้อ ยังไม่นับว่าถ้าคุณอยากได้รถท้ายตัดเกียร์ออโต้แรงๆ Subaru มี WRX STi A-Line 2.5 ลิตรเทอร์โบ 300 แรงม้า Boxer ขับสี่..ในราคา 3.15 ล้านเยนนะครับ

โดยรวมแล้วก็คงไม่ยากที่จะคิดว่าทำไมบางคนถึงไม่รู้ว่า Toyota เคยทำรถท้ายตัดคันเล็กเครื่อง V6 3.5 บ้าๆแบบนี้ออกมา เพราะขนาดคนเล่นรถในญี่ปุ่นเองบางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีรถอย่างนี้ แต่ในปัจจุบัน เมื่อเราไม่ต้องมาขิงกันเรื่องสมรรถนะ เมื่อรถมันแก่พอจนเปลี่ยนจากสถานะนักสู้ มาเป็นตัวสร้างความทรงจำในอดีตที่ดี ฝรั่งบางประเทศก็ชอบ Blade Master โดยเฉพาะประเทศที่ให้นำเข้ารถเก่าจากญี่ปุ่นได้อิสระเสรีอย่างนิวซีแลนด์ เมื่อเราไม่ได้มานั่งเค้นสมรรถนะหรือแข่งกันตลอดเวลา Blade Master คือรถแบบที่ Toyota แทบไม่เคยจะทำ พอทำออกมาแล้ว ก็เลิกทำไปเลย ในความหายากแบบนี้ บางคนก็มองว่าเป็นความพิเศษในตัวของมัน

สำหรับประเทศไทย คุณคงหมดสิทธิ์จะได้ซื้อใช้ครับ แต่ถ้าเจอหน้าตัดสวยๆรหัสตัวถัง GRE156 หน้าตาคล้าย Crown แต่เครื่องวางขวางแล้วสายไฟครบ บางคนอาจจะอยากเอามาลองซื้อ Altis หน้าแบนแล้วแปลงใส่เป็นของแปลกได้เหมือนกัน คือถ้าจะเน้นคุ้ม งบเท่าๆกัน คุณไปหา Camry V6 3.5 ขับเลย ถูกกะตังค์ และขาดทุนน้อยกว่า แต่สมัยนี้ ความแรงไม่ใช่เรื่องเดียวในการตัดสินว่าใครเจ๋ง ถ้าอยากจะลองทำ Altis หน้า Blade เปิดกระโปรงมาเจอเครื่อง V6 3.5 ผมว่าก็ไม่เลวนะครับ ถ้าทำได้ ได้รถคอนเทนต์ แปลก ไม่มีใครเหมือนแน่นอน

Pan Paitoonpong

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : Toyota Blade Master เมื่อพี่โตฯทำแฮทช์แบ็คโครงสร้าง Altis ที่วางเครื่อง V6 3.5

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

รับมือเขมรป่วนปราสาทตาเมือนธม ทหารจัดระเบียบเข้ม หลังกัมพูชาขนคนมาเต็มรถบัส 23 คัน

48 นาทีที่แล้ว

ทบ. ส่งทหารช่างเคลียร์ทุ่นระเบิด เก็บหลักฐานเพิ่ม ส่ง กต.ทำหนังสือถึง UN

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

แบม ไพลิน พูดหมดตั้งแต่เริ่มคบจนเลิกสามี พร้อมเหตุผลที่ต้องจบ ขอชดใช้กรรมทุกอย่าง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เปิดหลักฐานฉาว "ทิดสฤษดิ์" สวมวิกผม เซลฟี่หวานเศรษฐีนี แฉทรัพย์สินรวยอู่ฟู่

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความยานยนต์อื่น ๆ

King Long เติมความสุข ให้กลุ่มเปราะบาง

autoinfo.co.th

บีวายดี เสียบแทน โตโยต้า สปอนเซอร์ใหม่ฟุตบอลทีมชาติ-ไทยลีก

ฐานเศรษฐกิจ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ สานต่อแคมเปญ "Welcome Back Stars" ปีที่ 2 มอบสิทธิประกันคุณภาพ High-Voltage Battery ครอบคลุมไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด

สยามรัฐ

ZEEKR 7X คว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวจาก Euro NCAP

Insight Daily

สร้างชื่อกระหึ่มเวทีโลก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย คว้า 4 รางวัลใหญ่

Amarin TV

Mercedes-Benz สานต่อแคมเปญ “Welcome Back Stars” ปีที่ 2 ชวนลูกค้ากลับมารับสิทธิประกันคุณภาพแบตเตอรี่

Insight Daily

BYD ประกาศสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติไทย และไทยลีกอย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “BYD ชาร์จพลังบอลไทย”

สยามรัฐ

Ford สนับสนุนการศึกษา

autoinfo.co.th

ข่าวและบทความยอดนิยม

เครื่องเสียงโบราณกับวัยรุ่นยุคใหม่

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

ลาก 10,000 รอบ ในพริบตา กระทิงนักแข่ง Lamborghini Temerario GT3

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

10 ปี จีนทุ่มเงินกว่า 230 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
ดูเพิ่ม
Loading...