อย่ายอมให้'ทรัมป์'เข้าข้าง'กัมพูชา'เพื่อ "ทำลายประเทศไทย"ในสงครามสองแนวรบ
"โดนัลด์ ทรัมป์" ไม่ใช่แค่ทำลายความเป็น "มหามิตร" ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ด้วยการขึ้นภาษีกับไทยอย่างมหาโหดโดยไร้เหตุผลเท่านั้น ในเวลานี้เขายังทะเยอทะยานอยากจะเป็น "ฮีโร่ผู้ยุติสงคราม" โดยข่มขู่ไทยว่าจะไม่ยอมตกลงการค้าด้วย หากยังยิงกับกัมพูชา
ผมขอย้ำอีกครั้งว่าแบบนี้ไม่ใช่ "มหามิตร" แต่เป็น "มิตรหมาๆ" ที่ฉวยโอกาสทำลายบ้านเมืองเราถึง 2 ตลบ นั่นคือจู่ๆ ก็ทำ "สงครามภาษี" กับเรา แล้วก็ใช้สงครามภาษีมาหยุดยั้งกัมพูชาที่รุกรานเราและโอกาสที่เราจะ "กำราบประเทศอธรรมกัมพูชา"
ผมสงสัยว่า ฮุน มาเนต ซึ่งเป็นลูกหม้อของโรงเรียนนายร้อย "เวสต์พอยต์" จะใช้ "อเมริกันคอนเนกชั่น" ติดต่อกับวอชิงตันก่อนแล้วชี้โพรงให้กระรอก (คือทรัมป์) เห็นว่าควรจะกดดันไทยให้ยอมหยุดยิงโดยใช้ "ไพ่สงครามภาษี" มาต่อรอง
ทางหนึ่งทรัมป์จะได้หน้า อีกทางหนึ่งกัมพูชาจะได้ไม่ต้องยอมแพ้อย่างเสียหมา
เบื้องต้นรัฐบาลไทยไม่ยอม แต่เบื้องต่อไปผมยังหวั่นใจว่ารัฐบาลจะทนไหวหรือเปล่า?
เพราะไทยยังไม่ได้ดีลเรื่องภาษีกับทรัมป์ แต่กัมพูชาได้แล้ว จึงน่าหวั่นใจว่ารัฐบาลจะยอมเอาเรื่องเศรษฐกิจไปแลกกับชีวิตของพี่น้องคนไทยที่สูญเสียไปสงครามกับกัมพูชาหรือไม่?
หรือจะยอมเอาเงื่อนไขภาษีที่ดีขึ้นกับทรัมป์เพื่อแลกกับการ "ลืมๆ ไปซะว่าไทยถูกกัมพูชารุกราน"
ผมรู้ว่าเป็นการเลือกที่ตัดสินใจได้ยาก ทางหนึ่งก็ปากท้องประชาชน อีกทางหนึ่งก็ชีวิตประชาชน
แต่ถ้ายอมหยุดยิงกับกัมพูชา ผมเชื่อว่าไม่มีทางที่กัมพูชาจะเลิกหาเรื่องไทย เพราะในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมากัมพูชาหาเรื่องไทยมาตลอด ทั้งแต่กรณีเผาสถานทูตไทยที่พนมเปญอันเป็นเหตุอัปยศ แต่ไทยก็ยอมมันจนได้
เสียงเรียกร้องของคนไทยตอนนี้ ไม่ใช่หยุดยิง แต่ให้ยิงหนักกว่าเดิมถึงขั้นยึดดินแดนมา และทำลายตระกูลฮุนให้สิ้นซาก
ถ้าไม่ทำลายต้นตอของสงคราม ก็ไม่มีวันที่สันติภาพจะยั่งยืน
เช่นครั้งนี้ กัมพูชาทิ้งร่องรอยไว้หลายอย่างที่บ่งบอกว่า "เตรียมพร้อมจะทำสงครามมานานแล้ว" หนึ่งในนั้นคือ การรีบร้อนทำข้อตกลงกับทรัมป์แม้จะได้ลดภาษีแค่เล็กน้อย แต่ก็ประกาศว่า "นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ของเรา"
มาตอนนี้ผมเข้าใจว่าที่อ้างชัยชนะนั้น ก็เพราะรีบดีลกับทรัมป์เพื่อที่จะไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังหากก่อสงครามกับไทยก็แค่ทำสงครามกับไทย ไม่ต้องระแวงว่าทรัมป์จะ "ลงโทษ" ด้วยการเพิ่มดีกรีสงครามภาษี
ประเทศที่ผู้นำไม่เห็นค่าประชาชนอย่างกัมพูชายอมทำดีลกับทรัมป์ได้ง่ายๆ แม้ประชาชนนับล้านจะตกงาน แม้ประชาชนจะไม่มีกิน และแม้ประชาชนจะต้องล้มตายเพราะสงครามกับไทย
คนสามานย์แบบนี้มีหรือที่ไทยจะลดตัวไปปเจรจาด้วย? หากไม่หมอบคลานมาขอยอมแพ้ ไทยไม่ควรไปเสวนาด้วยอย่างยิ่ง
ขณะที่ประเทศไทยกังวลว่าเศรษฐกิจจะพินาศหากยอมรับดีลของทรัมป์ จึงไม่ผ่านข้อตกลงเสียที อีกทั้งยังมีข่าวว่าสหรัฐฯ จะใช่เงื่อนไขการค้าเข้ามายึดกุมความมั่นคงของไทยด้วย เรื่องนี้ยิ่งยอมอ่อนข้อได้ยาก
ตกลงว่าตอนนี้ไทย "รบเพียงลำพัง" เพราะ "มหามิตร" ก็ทำตัวป็น "มิตรหมาๆ" ส่วนเพื่อบ้านก็ทำตัวเป็น "หมาลอบกัด"
นี่คือ "สงครามสองแนวรบ" เหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก
แต่ใช่ว่าคนไทยไม่มีทางเลือก ขอเพียงมีใจที่มุ่งมั่นเท่านั้น เราย่อมเอาชนะสงครามทั้งสองแนวรบนี้ได้
ประการแรก "เราต้องยอมรับสถานการณ์ก่อนว่านี่คือสถานการณ์สงครามเต็มรูปแบบ เพราะมีทั้งการรบในรูปแบบ รบนอกรูปแบบ การรบไซเบอร์ และสงครามเศรษฐกิจ"
แม้รัฐบาลและรัฐสภาจะยังไม่ประกาศสงคราม แต่ "ให้รู้กัน" ในหมู่คนไทยว่า เราอยู่ในภาวะสงครามแล้ว
ในภาวะสงครามอะไรๆ ย่อมไม่ปกติ ย่อมมีการล้มตายและความขาดแคลนทางเศรษฐกิจ
พี่น้องคนไทยต้องทำใจรับให้ได้ในเรื่องนี้ หาไม่แล้วเราจะ "แพ้สงครามโดยไม่รู้ตัว"
สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ การรบกับกัมพูชาจะอาจจะไม่หยุดลงจนกว่า "จะสามารถล้างแค้นแทนพี่ร้องคนไทยที่สูญเสียไปจนสมน้ำสมเนื้อ"
ในขณะที่สงครามภาษีกับทรัมป์ อาจจะเจรจากันไม่สำเร็จ ทรัมป์อาจจะขึ้นภาษีกับเรามากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ เรื่องนี้จะสร้างความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่นี่คือภาวะสงครามเช่นกัน ซึ่งหากพี่น้องคนไทยเห็นด้วย เราก็จะ "ทนไปด้วยกัน"
แต่โปรดดูตัวอย่างประเทศในอาเซียนที่ยอมดีลกับทรัมป์ ทั้งเวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ล้วนแต่เสียผู้เสียคนทั้งนั้น เพราะทรัมป์ลดภาษีนิดเดียว แต่เอาเปรียบมากกว่า ถ้าไทยต้องเจอแบบนี้ สู้ไม่ยอมเสียจะดีกว่า อย่างน้อยยังได้ชื่อว่า "มีหลักการ" แม้เศรษฐกิจจะทรุดลง แต่ก็ยังดีกว่า "ขายตัว" เพื่อแลกกับการเป็นตัวประกอบที่ช่วยเสริม "บารมี" ให้ทรัมป์ผู้ยะโสโอหัง
สถานะของไทยนั้นไม่ใช่กระจอกๆ หากทรัมป์จะ "ลงโทษไทย" ผลนั้นจะสนองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปด้วยในอีกไม่ช้า ทำให้โอกาสที่จะคุยกันเพื่อ "ผ่อนหนักให้เป็นเบา" ในสงครามภาษีนั้นเป็นไปได้ โดยรัฐบาลต้องใช้การล็อบบี้สองแนว นั่นคือล็อบบี้ทางเศรษฐกิจกลุ่มหนึ่ง และล็อบบี้เพื่ออธิบายความจริงกับทรัมป์อีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้ทรัมป์ "แยกแยะ" ให้ออกว่าสงครามไทย-กัมพูชาไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาปนกันได้
แต่ผมขอเตือนว่ามันอาจจะยาก เพราะผมเชื่อว่า "กัมพูชาเตะหมูเข้าปากหมา" ไปแล้วด้วยการขายตัวให้กับสหรัฐฯ แล้วจึงยอมสหรัฐฯ ได้หมด แล้วใส้ไคล้กับทรัมป์ว่า "ฯ พณฯ ท่านขอรับ ไปกดดันไทยสิครับ เพราะไทยไม่ยอมศิโรราบกับสหรัฐฯ"
สำหรับเรื่องนี้ หากติดตามเรามานาน แฟนเพจคงจะทราบดีว่า The Better ชี้เป้ามาระยะหนึ่งแล้วว่ากัมพูชากำลังถูกเพ่งเล็งจากจีนว่ากำลังตีตัวออกห่างจากจีนเพื่อไป "เลียเท้า" ของสหรัฐอเมริกา
โปรดทราบว่าที่ผ่านมาจีนช่วยเหลือกัมพูชาทุกด้าน แต่เพื่อที่จะเอาตัวรอดจาก "สงครามภาษี" ของทรัมป์กัมพูชาจึงหักหลังจีนด้วยการยอมทำลาย "ห่วงโซ่อุปทาน" ด้านการผลิตของจีนในกัมพูชา และยังไม่เชื่อฟังจีนให้ทำลายศูนย์สแกมเมอร์ด้วย
การที่กัมพูชาผละจากจีนไปยอมให้สหรัฐฯ ย่อมเป็นหมากตาหนึ่งในการเปิดสงครามกับไทยด้วย และล่าสุดผลก็คือทรัมป์ก็ได้โอกาสแสดงบทบาท "มหาอำนาจ" ด้วยการ "เตือน" ทั้งสองประเทศ แต่กัมพูชาไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ผ่านดีล เพราะดีลผ่านไปแล้ว กลายเป็นว่าคำเตือนของทรัมป์ "เป็นภัย" ต่อไทยประเทศเดียว
นี่ไงครับถึงบอกว่า "กัมพูชาเตะหมูเข้าปากหมา"
แต่เนื่องจากนี่คือ "ภาวะสงคราม" ในทางพฤตินัยแล้ว ขึ้นอยู่กับคนไทยแล้วครับว่าจะยอมเป็น "หมูในปากหมา" หรือไม่ หรือจะยืนหยัดในช่วงเวลาอันยากลำบาก แล้วฝ่าฟันการคุกคามจากตระกูลฮุนและโดนัลด์ ทรัมป์
นี่คือช่วงเวลาทดสอบความแข็งแกร่งของคนไทยอย่างแท้จริง ว่าจะเป็นหมู "พญาคชสาร" ของแท้หรือไม่
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo
- US President Donald Trump , Photo by Jim WATSON / AFP
- Cambodia's Prime Minister Hun Manet, Photo by AFP / Agence Kampuchea Presse (AKP)