สื่อนอกรายงานข่าวศาล รธน. สั่งแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ชี้การเมืองไทยวุ่นวายขึ้น เสถียรภาพรัฐบาลมีแนวโน้มเปราะบาง | THE STANDARD

อัพเดต 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co

สื่อนอกรายงานข่าวศาล รธน. สั่งแพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ชี้การเมืองไทยวุ่นวายขึ้น เสถียรภาพรัฐบาลมีแนวโน้มเปราะบาง

หลายสำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าว ศาลรัฐธรรมนูญไทย มีคำสั่งให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ปมขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

Reuters รายงานว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้รัฐบาลที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดและตกอยู่ภายใต้การโจมตีจากหลายฝ่ายเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่รายงานความเห็นของสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า “งานของรัฐบาลยังไม่หยุด” และ “ไม่มีปัญหา”

Reuters ชี้ว่าคำสั่งศาลที่ออกมา สะท้อนให้เห็นวิกฤตของครอบครัวชินวัตร โดย

การต่อสู้ของแพทองธาร หลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 10 เดือน ตอกย้ำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ลดลงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีอิทธิพลและครองการเลือกตั้งของไทยมาตั้งแต่ปี 2544 แม้จะผ่านการรัฐประหารและคำตัดสินของศาลที่โค่นล้มรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของพรรคมาหลายชุด

Nikkei Asia รายงานว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การเมืองไทยเกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้น และชี้ว่าคลิปเสียงที่รั่วไหลออกมา ทำให้แพทองธารถูกบีบให้จนมุม

ทางด้าน South China Morning Post รายงานความเห็นจาก ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มองว่า “ในระยะยาว เสถียรภาพของรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเปราะบางมากยิ่งขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ของแพทองธาร”

ดร.ปุรวิชญ์ ชี้ว่า คำร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีของแพทองธาร มีพื้นฐานอยู่บนหลักจริยธรรมเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปีที่แล้ว

ด้าน The New York Times รายงานว่า คำสั่งศาลดังกล่าว ถือเป็นความปั่นป่วนครั้งล่าสุดของไทย ซึ่งประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองมาอย่างยาวนานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังส่งผลให้ไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องตกอยู่ในภาวะสุญญากาศของผู้นำ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัว และทำให้เกิดความกังวลว่ากองทัพ ซึ่งเคยเข้ามาแทรกแซงในวิกฤตการเมืองมาเป็นเวลานาน อาจก่อการรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง

อ้างอิง: