2026 มาแน่ 7 เทรนด์ท่องเที่ยวแห่งยุค จ่ายเงินอยู่กระท่อม-ตัดเน็ตมือถือ
ข้อมูลจากกลุ่มโรงแรมชั้นนำ บริษัทท่องเที่ยว และผู้เชี่ยวชาญด้านการคาดการณ์แนวโน้มทั่วโลก ชี้ให้เห็นว่า ปี 2026 จะเป็นปีแห่งการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ การวางแผนการเดินทางด้วยอัลกอริทึม การพักผ่อนแบบเฉพาะบุคคล และการกลับมาสู่การท่องเที่ยวที่ช้าลงและมีเป้าหมายมากขึ้น
นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพฤติกรรมศาสตร์ และบริษัทท่องเที่ยวต่างรวบรวมข้อมูลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพื่อประเมินว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด ในปี 2025 วงการท่องเที่ยวรู้จักกับคำว่า "coolcations" (คูลเคชั่นส์) เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เพื่อหลีกหนีจากอากาศที่ร้อนจัดหรือคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก รวมถึงเทรนด์ flashpacking (แฟลชแพ็กกิ้ง) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คที่อินดี้ไปอีกขั้น
ที่ผ่านมา เทรนด์การท่องเที่ยวประจำปีมักมาพร้อมกับคำผสมที่ดูแปลก ๆ และเกือบทุกครั้งก็สะท้อนถึงวิถีชีวิตของของผู้คนในช่วงนั้น หรืออย่างน้อยก็วิถีชีวิตที่อยากจะเป็น
Spotlight อยากชวนทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ประกอบการหรือนักเดินทาง มาทำความรู้จักกับ “7 เทรนด์การท่องเที่ยวในปี 2026” รับรองว่ามาแน่!
จ่ายเงินซื้อความสงบ
เทรนด์หนึ่งที่คาดว่าจะมาแรงในปีหน้าคือการพักผ่อนอย่างเงียบสงบ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "Hushpitality" คือเทรนด์การท่องเที่ยวและการบริการที่เน้น "ความสงบเงียบและความเป็นส่วนตัวสูงสุด" คำนี้เป็นการผสมคำระหว่าง Hush หรือเสียงจุ๊ ๆ ของฝรั่ง กับ Hospitality ที่แปลว่าการบริการหรืออุตสาหกรรมโรงแรม
เทรนด์การท่องเที่ยวแบบนี้ เน้นความสะดวกสบาย ความเงียบสงบ และการหาวิธีหลีกหนีจากความเครียดที่สะสมมาอย่างมากมายในชีวิตสมัยใหม่ ด้วยวัฒนธรรมดิจิทัลที่เชื่อมต่ออยู่ตลอดเวลา ประกอบกับเหตุการณ์ระดับโลกที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนกำลังมองหาวิธีที่จะตัดขาดจากโลกภายนอก
โรงแรมใหม่สัญชาติอังกฤษ ภายใต้แบรนด์ Unplugged ให้บริการที่พักในรูปแบบกระท่อมที่เงียบสงบ บนเว็บไซต์จองที่พักมีสโลแกนว่า “ไร้หน้าจอ ไร้ความเครียด ไม่ต้องไถฟีด มีแค่กระท่อมกับโลกออฟไลน์” ซึ่งแน่นอนว่าโลเคชั่นอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและป่าเขา ที่ห่างไกลจากตัวเมือง โรงแรมแบบนี้เอง ที่นักท่องเที่ยวแห่งยุค 2026 กำลังอินสุด ๆ
เฮคเตอร์ ฮิวจ์ส ผู้ร่วมก่อตั้งโรงแรมดังกล่าวเปิดเผยว่า "ตอนที่เราเริ่มโครงการ Unplugged ในปี 2020 การพักผ่อนจากโลกดิจิทัลและการใช้ชีวิตแบบอนาล็อกยังแทบไม่มีใครรู้จัก แต่ตอนนี้ แขกของเรากว่าครึ่งเล่าว่า พวกเขามีอาการเหนื่อยล้าจากการใช้หน้าจอและอาการเบื่อหน่ายหน้าจอ เป็นแรงจูงใจหลักในการจองที่พักกับเรา"
ใช้ AI แพลนทริป-ช่วยเที่ยว
เราจะได้เห็นการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างแน่นอนในปี 2026 จากการวิจัยของ Amadeus พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่ใช้ AI วางแผนและจองที่พักอย่างสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Expedia และ Booking.com ได้นำเครื่องมือต่าง ๆ เช่น ChatGPT มาใช้ ทำให้การวางแผนวันหยุดของผู้คนง่ายขึ้นด้วยระบบอัจฉริยะ
นอกจากการวางแผนแล้ว ระหว่างท่องเที่ยว ระบบปัญญาประดิษฐ์ก็เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการแปลภาษาสื่อสารกับชาวต่างชาติแบบเรียลไทม์ หากไปเที่ยวในที่ที่ภาษาไม่คุ้นเคย รวมไปถึงการเช็คอินดิจิทัลผ่านมือถือ สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีค่อย ๆ ลดภาระงานด้านธุรการที่จำเป็นต่อการเดินทางลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาของ AI ก็มาพร้อมกับปัญหา ผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนเตือนว่า คำแนะนำจากอัลกอริทึมอาจกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวมากเกินไป โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวแค่ไม่กี่จุดหมายปลายทางเดิมๆ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการหลอกลวงด้านการท่องเที่ยว ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างรอบคอบ
จัสมิน บินา ผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์วัฒนธรรมและซีอีโอของ Concept Bureau กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ที่ใช้ AI กำลังเปลี่ยน ‘วิธี’ การแสดงความปรารถนาของนักเดินทาง แต่ไม่ได้เปลี่ยน ‘เหตุผล’ ที่เราเดินทางตั้งแต่แรก เธออธิบายว่า “คุณอาจต้องการเดินทางไปรีสอร์ทเพื่อฟื้นฟูจากอาการหมดไฟ แต่ตอนนี้แทนที่จะค้นหารีสอร์ทบน TikTok คุณอาจใช้ ChatGPT เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการหมดไฟของคุณก่อนว่าคุณตอบสนองต่อพิธีกรรมหรือสิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัสแบบใด และจุดหมายปลายทางใดที่สะท้อนสภาพจิตใจภายในของคุณได้ดีที่สุด”
ปล่อยจอย ไม่ตัดสินใจ ไปเรื่อย
ไม่ว่าจะเรียกว่าความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ ความขี้เกียจ หรือความตื่นเต้นที่ได้ปล่อยให้คนอื่นเป็นคนตัดสินใจแทน ก็เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แขกไม่ต้องตัดสินใจอะไรเลยนั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ในเมืองเมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา โรงแรม Winemaker's House & Spa Suites ของ Susana Balboa ได้เปิดตัวตัวเลือกการเดินทางแบบลึกลับที่ออกแบบมาเพื่อลดความเครียดในการจองและสร้างความประหลาดใจที่คัดสรรมาอย่างดีสำหรับแขก ในขณะที่ในอุตสาหกรรมการล่องเรือ การล่องเรือแบบลึกลับซึ่งผู้โดยสารขึ้นเรือโดยไม่รู้กำหนดการเดินทาง กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
รายงานแนวโน้มจากบริษัทประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยว Lemongrass ระบุว่า การเดินทางแบบจัดทริปเฉพาะเจาะจงเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจที่เพิ่มมากขึ้น และภาระทางความคิดที่เกิดจากการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
#Roadtrip ขับไปยาว ๆ ไม่ขึ้นเครื่องบิน
จากรายงานเทรนด์ปี 2026 ของฮิลตัน ระบุว่า ผู้คนจะสนุกกับการเดินทางด้วยรถยนต์ในปี 2026 โดยแฮชแท็ก #RoadTrip มียอดการแท็กมากกว่า 5.9 ล้านครั้งทั่วโลก เนื่องจากนักเดินทางได้ค้นพบเสน่ห์ของการเดินทางบนท้องถนนอีกครั้ง
เป็นไปได้ว่าคนยุคนี้มอง Roadtrip เป็นกิจกรรมสุดเริ่ด สุดคูลมากขึ้น เพราะ HunterMoss ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ กำลังพลิกโฉมการเดินทางด้วยรถยนต์แบบคลาสสิกให้กลายเป็นประสบการณ์สุดหรู โดยจับคู่การรับประทานอาหารระดับมิชลินสตาร์กับจุดแวะพักไลฟ์สไตล์ที่คัดสรรมาอย่างดี
ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกขับรถด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป นั่นคือ ค่าใช้จ่าย ซึ่งจากการวิจัยของฮิลตัน พบว่า 60% ของชาวอังกฤษกล่าวว่าพวกเขาจะขับรถไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อประหยัดเงิน
มิเลน่า นิโคโลวา หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านพฤติกรรมของ BehaviorSMART ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการทำความเข้าใจวิธีการและเหตุผลที่เราเดินทาง มองว่ากระแสการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่กำลังเฟื่องฟูนั้นมีลักษณะเฉพาะของสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน “ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับรถยนต์ในอเมริกาเหนือและยุโรปนั้นแตกต่างกันมาก ส่งผลให้พวกเขามีทัศนคติที่แตกต่างกันต่อการขับรถเพื่อการพักผ่อน”
ทริปเฉพาะบุคคล คลั่งรักอะไร ไปหาสิ่งนั้น
หมดยุคการจัดทริปแบบแห่ไปท่องเที่ยวสถานที่ฮิต ๆ ตามกระแสแบบคนอื่นแล้ว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ก้าวไปสู่ความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างมากในวงกว้าง ทัวร์เฉพาะทางได้เกิดขึ้นมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองช่วงชีวิตและสถานการณ์ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ทริปพักใจหลังหย่าร้าง เน้นลืมความโศกเศร้า ไปจนถึงการพักผ่อนสำหรับคนโสดวัยเกษียณ เป็นต้น แม้แต่ทริปที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่ม เช่น วันหยุดสำหรับกีฬาแร็กเก็ตและทัวร์สำหรับผู้ชื่นชอบแมลง
สำหรับ จัสมิน บินา ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่เราสัมผัสกับเวลาในปัจจุบัน เธอกล่าวว่า “ชีวิตกลายเป็นเหมือนการเลื่อนดูไม่รู้จบ มีพิธีกรรมและช่วงเปลี่ยนผ่านน้อยลง” เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งต่างๆ เช่น ทัวร์เฉพาะทางเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรง นี่คือจุดเปลี่ยนใหม่ของเรา ผู้คนต้องการก้าวผ่านมันไปและเปลี่ยนแปลงตัวเองจากทริทท่องเที่ยวสั้น ๆ นั่นเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมอบความหมายและประสบการณ์ในระดับที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้น
แหล่งเที่ยวใหม่ ผจญภัยและท้าทาย
นิค พัลลีย์ ผู้ก่อตั้งบริษัททัวร์ Selective Asia กล่าวว่า “นักท่องเที่ยวของเราจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ชอบอินสตาแกรม กำลังหันเหความสนใจจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีคนพลุกพล่าน ซึ่งมักจะไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตและดูเรียบง่ายในโลกออนไลน์”
ผลที่ตามมาคือ จุดหมายปลายทางที่อยู่นอกกระแสหลักกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยมีผู้สนใจในสถานที่ต่างๆ เช่น โตเลโดในสเปน บรันเดนบูร์กในเยอรมนี และสำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายมากขึ้นก็คือ อิรัก ในสหราชอาณาจักร แนวโน้มนี้กำลังดึงดูดผู้คนให้หันเหความสนใจจากแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ เช่น คอตส์โวลด์และคอร์นวอลล์ ไปสู่พื้นที่ที่มีคนไปเที่ยวน้อยกว่า เช่น นอร์ธัมเบอร์แลนด์ เวลส์ และซอมเมอร์เซ็ต
ผลการวิจัยของฮิลตันยังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอังกฤษที่แสวงหาการพัฒนาตนเองและการสำรวจ แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยภาระการเตรียมตัวที่มากขึ้น ความต้องการการผจญภัยกำลังเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาโฮมสเตย์แบบดั้งเดิมในเนปาล การเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักในอิตาลี หรือเพียงแค่ภูมิภาคที่นักท่องเที่ยวน้อยและมีเสน่ห์เฉพาะตัว
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประสบการณ์ในปัจจุบันทำหน้าที่เป็นเหมือนสกุลเงินทางสังคม ยิ่งไปในที่ที่ต้องผจญภัย ท้าทาย และฟังดูอันตราย กลายเป็นเทรนด์ที่ทำให้นักเดินทางได้รับเสียงชื่นชมมากขึ้น นิค พัลลีย์ กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งของสถานะทางสังคมนั้นมาจากการที่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่มีประสบการณ์การเดินทางที่ร่ำรวยกว่า และคนที่ก้าวข้ามประสบการณ์แบบเดิมๆ ที่คนหมู่มากนิยมไปแล้ว”
เที่ยวสายเนิร์ด ปล่อยใจอ่านหนังสือ ตามรอยวรรณกรรม
ก่อนหน้านี้ใครที่หลงรักซีรีส์เกาหลี อาจจะไปตามรอยบนเกาะต่าง ๆ ที่ใช้ในการถ่ายทำ จนเคยเกิดกระแส "set-jetting" การท่องเที่ยวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรายการทีวีและภาพยนตร์ แต่ปี 2026 นี้เป็นปีของนักอ่าน สำหรับนักอ่านตัวยงบางคน อาจเคยได้ยินเทรนด์ #BookTok การท่องเที่ยวเชิงวรรณกรรมกันมาบ้าง
โรงแรมทั่วโลก แม้แต่ในจุดหมายปลายทางที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานบันเทิงยามค่ำคืน ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในเทรนด์นี้ ตั้งแต่ เกาะอิบิซาไปจนถึงมาดริด แขกของโรงแรมสามารถคาดหวังที่จะมาอ่านหนังสือหายาก พวกเขาเฟ้นหาสถานที่พักผ่อนสำหรับการอ่าน ไปจนถึงห้องสมุดติดริมสระว่ายน้ำและการเข้าพักในธีมต่าง ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรม
มีหลายสถานที่ที่ถูกคาดการณ์ว่า จะติดอันดับสถานที่ขายดีในปีหน้า ได้แก่ คอร์นวอลล์ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์แฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคใหม่ หรือยอร์กเชอร์มัวร์ส ฉากหลังของภาพยนตร์เรื่อง Wuthering Heights ที่กำลังจะเข้าฉายของเอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ และกรีซ จากภาพยนตร์ดัดแปลงเรื่อง The Odyssey ของคริสโตเฟอร์ โนแลน
แนวโน้มนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการหลีกหนีความจริงในยุคสมัยใหม่ เพราะในยามที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือเกิดวิกฤต เรามักหลีกหนีไปสู่โลกแห่งนิยายเพื่อสำรวจทั้งความกลัวและความปรารถนาของเรา