เจ้าของปั๊มถูกจรวดกัมพูชา เข้ากรุงร้อง “พีระพันธุ์” ช่วยเยียวยาความเสียหาย
วันที่ 4 ส.ค. 68 นางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการน้ำมันบ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกจรวด BM-21 จากฝั่งกัมพูชาตกใส่ เสียหายมูลค่ากว่า 20.1 ล้านบาท รวมถึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ได้เดินทางมายังกระทรวงพลังงาน พร้อมกับลูกสาวและชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เพื่อยื่นหนังสือถึง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ช่วยดูแลเกี่ยวกับการเยียวยาความเสียหาย หลังตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 11 วัน ยังไม่ทราบถึงแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาจากภาครัฐ และยังไม่ทราบกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน
นางกมลรัตน์ บอกว่า ส่วนตัวมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากความความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา จึงคาดหวังจะได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ เพราะส่วนตัวประกอบธุรกิจและเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกปี แต่กลับไม่เคยได้รับทราบถึงแนวทางการเยียวยา และกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนจากภาครัฐ ซึ่งถือว่าค่อนข้างล่าช้ามาก
อีกทั้ง สถานีบริการน้ำมันต้องหยุดให้บริการประมาณ 3 เดือน ส่งผลให้พนักงาน 32 ชีวิตได้รับผลกระทบ ไม่มีรายได้ รวมมูลค่าเสียหายทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งในส่วนบริษัทประกันภาย อาจจะครอบคลุมเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ยังเหลืออีกประมาณ 10 ล้านบาท จึงอยากทราบแนวทางของภาครัฐ ว่า จะช่วยเหลืออย่างไร
ทั้งนี้ พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เป็นตัวแทนมารับหนังสือจากนางกมลรัตน์ พร้อมได้เชิญนายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) มาชี้แจงเกี่ยวกับการเยียวยาความเสียหาย เนื่องจากมีความกังวลว่า บริษัทประกันภัยจะไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน จากเหตุสงคราม
นายคณานุสรณ์ ยอมรับว่า ในเงื่อนไขการทำประกัน ระบุข้อยกเว้นไว้จริงว่า บริษัทประกันภัยจะไม่รับผิดชอบหากความเสียหายเกิดจากภัยสงคราม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครัังนี้ เป็นเพียงการปะทะกันของกองกำลังทหารไทยและทหารกัมพูชา ไม่ใช่สงครามและไม่ใช่การรุกรานแต่อย่างใด จึงยืนยันว่า บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ไม่สามารถที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้
โดยในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ทราบว่าได้ทำประกันไว้ 2 ส่วน คือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ซึ่งจะผิดชอบในส่วนความเสียหายของอาคารทั้งหมดในสถานีบริการน้ำมัน และประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก แต่เหตุครั้งนี้ ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากสถานีบริการน้ำมัน ในส่วนนี้จึงอาจไม่มีความคุ้มครอง แต่เบื้องต้น คปภ. ก็ได้ขอให้บริษัทประกัน พิจารณาให้สินไหมกรุณาแก่ผู้เสียชีวิต
ส่วนผู้เสียชีวิตในสถานีบริการน้ำมัน ได้ตรวจสอบแล้ว ว่า มีการทำประกันภัยชนิดได้บ้าง รวมถึงกรณีของนักเรียนที่เสียชีวิต ทราบว่า โรงเรียนได้ทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มเอาไว้ ก็ได้ประสานให้บริษัทประกันเตรียมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด ซึ่งปกติแล้วการดำเนินการจะมีกรอบทุก ๆ 15 วัน คือ เริ่มจากการประเมินความเสียหาย 15 วัน พิจารณาความเสียหาย 15 วัน และจ่ายสินไหมภายใน 15 วัน รวมกรอบระยะเวลาสูงสุด 45 วัน ซึ่งในกรณีเพิ่งได้รับรายงานเมื่อวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา จึงอาจต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ แต่จะเร่งให้มีการจ่านสินไหมให้กับผู้เสียหายโดยเร็วที่สุด
พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบเป็นการเฉพาะของกระทรวงพลังงาน แต่เนื่องจากบริษัท ปตท. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน จึงเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องการเยียวยา เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้ยังไม่มีกฎหมายรองรับ หากในอนาคตเกิดเหตุขึ้นกับกิจการชายแดนอีก จะได้มีแนวทางที่ชัดเจน ซึ่งนอกจากการเยียวยาของทางบริษัทประกันภัยแล้ว ทางเจ้าของสถานีบริการน้ำมันก็ยังรอแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาจากภาคเอกชน ทั้ง ปตท. และ CP all ซึ่งคาดว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมหารือภายใน และคาดว่าจะมีความชัดเจนออกมาเร็ว ๆ นี้
ด้านลูกสาวของเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ยังได้กล่าวเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อสารผ่านสื่อมวลชนไปยังนานาชาติ ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ใช่ผู้เริ่มการปะทะกับกัมพูชา และต้องการให้ทุกคนที่ได้รับความเสียหายได้รับการเยียวยาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น.