ดร.กอบศักดิ์ เตือนภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ห่วงการเมืองไม่นิ่ง จ่อซ้ำเศรษฐกิจไทย แนะกนง.ลดดอกเบี้ยเลย
ดร.กอบศักดิ์ เตือน ภาษีทรัมป์ ยังไม่จบ! ย้ำภาษี 19% แค่เริ่มต้น ห่วง ภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) แต่ยืนยันคงประมาณการ GDP ไทยปีนี้ไว้ที่ 1.5-2.0% ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า ห่วงการเมืองไม่นิ่งจ่อซ้ำเติม มองเศรษฐกิจไทยต้องใช้กระสุนทั้ง ‘การคลัง’ และ ‘การเงิน’ แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า ห่วงลดช้าไป ปัญหาต่างๆ อาจรุนแรงกว่าที่คิด
วันนี้ (5 สิงหาคม) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ย้ำว่า ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ไทยได้รับในอัตรา 19% เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ในระยะข้างหน้า สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ นอกจากนี้ ภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) ในอัตรา 40% ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวลใจมากกว่า
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ยังต้องจับตาดู การกำหนดคำนิยามหรือเงื่อนไขของภาษีสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) ที่สหรัฐฯ
โดยดร.กอบศักดิ์ คาดการณ์ว่า เบื้องต้น สหรัฐฯ อาจกำหนดเงื่อนไขว่า สินค้าทั่วไปที่จะโดนอัตราภาษี Transshipment อาจจะหมายถึง สินค้าที่นำเข้ามาจากท่าหนึ่งแล้วส่งต่อไปท่าหนึ่ง จะต้องมี Local Content ไม่ต่ำกว่า 40% แต่ในอนาคต อาจมีการขยายคำนิยามให้รวมไปถึงนำเข้าชิ้นส่วนจากประเทศอื่นแล้วมาประกอบในประเทศด้วย ซึ่งอาจมีการกำหนดว่า ต้องมีชิ้นส่วนเป็น Local Content ไม่ต่ำกว่า 50-60% ก็เป็นไปได้
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็อาจมีการสั่งตรวจโรงงานในประเทศไทย อย่างที่สหรัฐฯ เคยทำ ครั้งเมื่อออกมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด (Anti-Dumping)จนนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์จากไทยในอัตราสูงสุด 972.23% ด้วย
คงประมาณการ GDP ไทย ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า ยังคงประมาณการ GDP ไทยปี 2025 ไว้ในกรอบ 1.5-2.0% เนื่องจากมองว่า การได้อัตราภาษีตอบโต้ที่ 19% เป็นแรงช่วยเศรษฐกิจไทยปีนี้มากพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เหลือของปีก็ยังคงมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอีกมาก อาทิ การเคาะภาษีตอบโต้ไทยในอัตรา 19% ซึ่งถือว่า เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ความขัดแย้งชายแดนที่ยังดูคุกรุ่น รวมไปถึงความไม่แน่นอนการเมืองไทย
ปัญหาภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ความไม่แน่นอนการเมืองจ่อซ้ำเติม
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า “อย่าไปคิดว่า Reciprocal Tariff ที่ 19% จะจบแค่นี้ ผมว่า เป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ว่าการเมืองในประเทศก็เป็นปัจจัยซ้ำเติม” พร้อมมองว่า ความไม่แน่นอนการเมืองถือเป็นปัญหาใหญ่ของไทย เนื่องจาก ความไม่แน่นอนทำให้การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ยากขึ้นเยอะ นอกจากนี้กระบวนการทำงานของราชการขึ้นอยู่กับความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองด้วย
ดร.กอบศักดิ์ ยังยกตัวอย่างกรณีสิงคโปร์ ที่พอเห็นว่าปัญหารุมเร้าอยู่ข้างหน้า ก็จัดการปัญหาการเมืองให้จบทันที แล้วมุ่งแก้ปัญหาไปสู่อนาคต
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ถ้ารัฐบาลเร่งรัด พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ได้ทันก็จะเป็นปัจจัยบวก แต่ถ้าทำไม่ทันก็อย่ากังวลใจมาก เนื่องจากมีกลไกทำงบประมาณแบบใช้ไปพลางก่อนได้
ย้ำต้องใช้กระสุนทั้งการคลังและการเงิน
ดร.กอบศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ มีความจำเป็นต้องกระตุ้นและประคองเศรษฐกิจ ทั้งภาคการเงินและภาคการคลัง หากการเมืองนิ่ง กระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้นได้เต็มที่ ถ้าเกิดรัฐบาลไม่สามารถใช้งบประมาณ ไม่สามารถทำโครงการต่างๆได้ หรือทำแบบครึ่งๆกลางๆ การกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นไปได้ยาก
แนะแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า
ดร.กอบศักดิ์ ยังระบุว่า ท่ามกลางแรงต้านทางเศรษฐกิจมากมาย จึงอยากเห็นการลดอัตราดอกเบี้ย ตั้งแต่การประชุมกนง. นัดสัปดาห์หน้า (13 สิงหาคม) พร้อมมองว่า อยากเห็นการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อประคองให้เศรษฐกิจเดินไปต่อได้ ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจดูไม่ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ
ดร.กอบศักดิ์ ยังเปรียบการลดดอกเบี้ยนโยบายเหมือนเป็นกับการซื้อประกัน กล่าวคือ เมื่อเห็นปัญหาข้างหน้า ก็ต้องซื้อประกันไว้ หากรอให้เกิดเหตุขึ้นมาก่อน ค่อยไปซื้อประกัน วันนั้นก็ไม่ทันแล้ว ปัญหาต่างๆ ก็อาจจะแรงกว่าที่คิด แล้วต้องใช้ยาจำนวนมากในการแก้ไขปัญหาต่อไป
“ที่สำคัญที่สุด ในช่วงถัดไป เมื่อเราเห็นว่า จะมีแรงต้านเยอะ เราต้องทำแรงส่งให้เพียงพอ การที่รอจนกระทั่งเศรษฐกิจชะลอไปแล้ว อาจจะต้องใช้แรงในการขับเคลื่อนจำนวนมากขึ้น” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว