"วันนอร์" โยนวิปสองฝ่าย ถกนิรโทษกรรม หวังปลดชนวนขัดแย้ง เตือนการเมืองไม่นิ่งกระทบลงทุน-ท่องเที่ยว
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรมีแนวคิดที่จะผลักดัน การพิจารณาเรื่องนิรโทษกรรม ว่าขณะนี้ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการพิจารณาปรับปรุงก่อนเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยจะต้องมีการหารือกับวิปทุกฝ่ายก่อนที่จะนำเข้าสู่วาระพิจารณาของสภาฯ
ส่วนในเนื้อหาของการนิรโทษกรรมยังมีความเห็นต่างกันอยู่ของผู้พิจารณา คาดว่าจะต้องมีการปรับปรุงและรัฐบาลจะต้องรับฟังเพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับตรงกัน พร้อมชี้ว่าเรื่องร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์ ซึ่งหากผลักดันได้สำเร็จก็สามารถสร้างความปรองดองให้กับประเทศได้ในระดับหนึ่ง แต่หากกฎหมายไม่สำเร็จก็อาจจะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อน จากความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน หากทำให้คนเรานั้นสามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ได้ก็จะช่วยให้การเมืองเดินไปได้มากยิ่งขึ้น
ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการชุมนุมทางการเมืองในวันนี้ ว่าในฐานะประธานรัฐสภาไม่ต้องการที่จะให้ความเห็นหรือคาดการณ์เกี่ยวกับการชุมนุม ทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการเมืองเป็นเรื่องธรรมดาที่มีปัญหา พร้อมกับหยิบยกการเมืองในประเทศจีนที่พัฒนาได้ เพราะการเมืองของจีนค่อนข้างเป็นระบบ แต่ถ้าหากการเมืองไม่นิ่งก็ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจตามมา
การลงทุนก็มีปัญหา เพราะคนขาดความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปที่จะพิจารณามาลงทุน นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวประเทศไทยถ้าประเทศไทยยังเป็นปัญหาเช่นการประท้วงอะไรต่างๆ รัฐบาลมีความไม่มั่นคงนักท่องเที่ยวจะเลือกไปประเทศอื่นก็ได้ แล้วเสียโอกาสระดับหนึ่ง แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าประชาธิปไตยก็เป็นเช่นนี้
เผยผลสำเร็จเยือนจีน 2 ประเทศ แนบแน่น-เชื่อใจ
นายวันมูหะหมัด นอร์ มะทา เปิดเผยถึงผลสำเร็จการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ไทย-จีน ระหว่างวันที่ 22 ถึง 28 มิถุนายน 2568 ว่า การเดินทางเยือนครั้งนี้ได้รับเชิญจากรัฐบาลจีน สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงปัก สมาคมมิตรภาพไทย-จีน ซึ่งความจริงแล้วไทยและจีนมีความสำคัญร่วมกันเป็นพี่น้องกันมาหลายร้อยปี มาคราวนี้นอกจากแสดงจุดยืนของไทยว่า ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศไม่มีปัญหา เพราะไทยและจีนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันในทุกด้าน
โดยสรุปผลการดำเนินการที่ไทยประสบความสำเร็จ ในการเดินทางเยือนจีนของตนในฐานะประธานรัฐสภา คือการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วให้แนบแน่น ไว้เนื้อเชื่อใจ และไม่ทำร้ายซึ่งกันและกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และ การเมือง
จีนให้ความสำคัญกับนโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่บริหารประเทศอย่างมีแผนงานชัดเจน เช่น การแก้ไขปัญหาความยากจนที่สามารถทำได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ และงานการเมือง และการปราบปรามคอรัปชั่นต้องโปร่งใส ภายใต้การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่อาศัยตะวันตก เชื่อว่าจีนจะกลายเป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลกในไม่ช้า เพราะเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตอย่างไม่หยุด
และในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสถานทูตจีน ประจำประเทศไทย และกระทรวงการต่างประเทศ จะจัดเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-จีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศอีกครั้ง