ศวข.สุรินทร์ ขับเคลื่อน "โครงการเกษตรอทิตยาทร" พัฒนาการผลิตข้าวหอมมะลิดีที่สุดในประเทศ
ศูนย์เรียนรู้การทำนาแบบครบวงจรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ภายในโครงการเกษตรอทิตยาทร (ซแรย์อทิตยา) ในพระราชดำริพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ จังหวัดสุรินทร์ เป็นหนึ่งในโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยใช้หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้สำหรับเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ การดำเนินงานจะเน้นให้ความสำคัญกับการเกษตรที่หลากหลายครบวงจร ซึ่งรวมถึงการเพาะปลูกพืช การเลี้ยงสัตว์ และการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวตามแนวทางของพระราชดำริที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
จังหวัดสุรินทร์ มีชื่อเสียงในการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพสูง โดยพื้นที่ปลูกข้าวในจังหวัดนี้มีประมาณ 3 ล้านไร่ และเกษตรกรปลูกข้าวหอมมะลิมากกว่าร้อยละ 99 ของพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด แม้ว่าจังหวัดสุรินทร์ จะมีการผลิตข้าวหอมมะลิที่ดี แต่เกษตรกรยังคงประสบกับปัญหาหลายประการที่ส่งผลต่อผลผลิตและคุณภาพข้าว โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำเนื่องจากฝนตกไม่สม่ำเสมอและปัญหาการกระจายน้ำที่ไม่ทั่วถึงในพื้นที่นา ซึ่งส่งผลให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ดี อีกทั้งยังมีการแข่งกับวัชพืชที่งอกขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำขัง รวมทั้งการจัดการปุ๋ยที่ไม่ถูกต้องทำให้ประสิทธิภาพของปุ๋ยลดลง ส่งผลให้ผลผลิตข้าวที่ได้ต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังมีปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพและการมีเมล็ดข้าวแดงปนในผลผลิต ทำให้ผลผลิตถูกกดราคาเมื่อจำหน่าย
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ กรมการข้าว ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ได้ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพ ภายใต้ โครงการศูนย์เรียนรู้การทำนาแบบครบวงจรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงภายในโครงการเกษตรอทิตยาทร (ซแรย์อทิตยา) ในพระราชดำริพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ จังหวัดสุรินทร์
ธานี ชื่นบาน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ เล่าว่า ศูนย์เรียนรู้การทำนาแบบครบวงจรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการสนับสนุนจากโครงการซแรย์อทิตยา ในพระดำริของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิตติคุณ ซึ่งเกิดจากพระราชดำริของพระองค์ที่ทรงเห็นว่าเกษตรกรในจังหวัดสุรินทร์มีคุณภาพชีวิตที่ต่ำ และขาดความรู้ในการทำนา จึงทรงจัดตั้งโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำนา โดยศูนย์นี้จะมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ศูนย์วิจัยข้าวจะมุ่งเน้นในเรื่องของข้าวโดยเฉพาะ
ในศูนย์เรียนรู้จะมีการจัดตั้งโรงเรียนชาวนาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการทำนา ทั้งในด้านประเพณีและวัฒนธรรม เช่น การทำผีตาแห้งและการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางก่อนลงทำนา รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับพระแม่โพสพ นอกจากนี้ ยังมีการสอนการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว เนื่องจากเกษตรกรในสุรินทร์ประสบปัญหาเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งส่งผลให้ข้าวที่ปลูกมีข้าวปนและถูกตัดราคาเมื่อนำไปขาย
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ ยังมุ่งเน้นในการผลิตข้าวที่มีคุณภาพ เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายข้าวได้ราคาดี โดยการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์และให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ปุ๋ยและการป้องกันโรคแมลงในข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งมีความอ่อนแอต่อโรคและแมลง การสอนการใช้เครื่องมือในการเก็บข้าวและการตัดข้าวปนยังเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง
ศูนย์เรียนรู้ยังมีแปลงทฤษฎีใหม่ ซึ่งเกษตรกรสามารถเรียนรู้การจัดสรรพื้นที่การทำนาและการปลูกข้าวสองรอบต่อปี เพื่อให้ได้ผลผลิตข้าวคุณภาพ นอกจากนี้ยังมีแปลงเมล็ดพันธุ์ที่มีพื้นที่ 7 ไร่ ซึ่งใช้พันธุ์ข้าวจากศูนย์วิจัยข้าวในการปลูกเพื่อเป็นแหล่งเชื้อพันธุ์สำหรับเกษตรกร โดยศูนย์จะช่วยปักดำและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวข้าว
ในส่วนของการดำเนินงานศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากเกษตรกรที่เข้ามาศึกษาในโครงการ และพบว่าเกษตรกรที่มาดูงานสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการปรับปรุงการทำนาของตนเอง โดยการผลิตเมล็ดพันธุ์ใช้เองก็ช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก สำหรับปีนี้เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตจากโครงการจะจำหน่ายให้กับเกษตรกรในราคาถูก เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีในการทำนา
ในอนาคต ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ตั้งเป้าหมายที่จะจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวและจะซื้อคืนจากเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์เองในครัวเรือนได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดข้าว
“ศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ ยังพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ที่มีคุณสมบัติต้านทานโรคและแมลง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและเพิ่มความสามารถในการผลิตข้าวคุณภาพสูง ตลอดจนสร้างความรู้ให้กับเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตและทำการเกษตรตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งจะช่วยให้จังหวัดสุรินทร์ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในประเทศได้อย่างยั่งยืน” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวสุรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย