เสนอจัดทำ ‘ฐานข้อมูลคณะสงฆ์กลาง’ อัปเดตแบบเรียลไทม์ สร้างความเชื่อมั่นสังคม
พระวัฒนวชิรเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร เลขานุการเจ้าคณะภาค 17-18 (ธรรมยุต) กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งการให้ตำรวจทุกสถานีลงพื้นที่เก็บข้อมูลวัดทั่วประเทศกว่า 44,000 แห่ง เพื่อรวบรวมจำนวนพระภิกษุสามเณร ผู้พักอาศัย ตลอดจนข้อมูลส่วนบุคคล และแม้กระทั่งข้อมูลบัญชีธนาคารของพระแต่ละรูป ภารกิจเร่งด่วนนี้ครอบคลุมพระภิกษุสามเณร 290,143 รูป เหตุการณ์นี้สร้างความสับสนและข้อถกเถียงในสังคม โดยเฉพาะประเด็นกรอบกฎหมาย การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และความจำเป็นของการเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน ช่องว่างด้านระบบข้อมูลคณะสงฆ์ ปัจจุบัน ประเทศไทย ยังไม่มีระบบฐานข้อมูลคณะสงฆ์กลางที่ทันสมัยและตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ ที่ผ่านมาข้อมูลถูกเก็บผ่านสายการปกครองตั้งแต่เจ้าคณะตำบลจนถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมใช้ “หนังสือสุทธิ” แบบกระดาษที่ไม่สามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรหรือหน่วยงานรัฐอื่นได้
พระวัฒนวชิรเมธี กล่าวต่อไปว่า ในโลกยุค Digital Disruption ตัวอย่างความสำเร็จจากภาคส่วนอื่น ในหลายวงการของประเทศ ฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันได้พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก เช่น การเงิน ธนาคารพาณิชย์เชื่อมข้อมูลกับธนาคารแห่งประเทศไทยและเครดิตบูโร ทำให้ตรวจสอบและโอนเงินได้ทันที สาธารณสุข ระบบ HosXP และฐานข้อมูลสปสช. เชื่อมข้อมูลผู้ป่วยทั่วประเทศ ให้การรักษาต่อเนื่องแม้ย้ายโรงพยาบาล การปกครอง ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง เชื่อมกับทุกหน่วยงานรัฐ ใช้บัตรประชาชนใบเดียวตรวจสอบได้ การศึกษา ระบบ MOE Digital เชื่อมข้อมูลนักเรียนทั้งประเทศ ทำให้ติดตามประวัติการเรียนได้แม้เปลี่ยนโรงเรียน
พระวัฒนวชิรเมธี กล่าวอีกว่า ดังนั้นข้อเสนอเชิงนโยบาย เสนอให้จัดตั้งระบบฐานข้อมูลคณะสงฆ์กลาง (Centralized Clergy Database) โดยมีพศ.เป็นเจ้าภาพหลัก ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย สำนักทะเบียนราษฎร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบบนี้ควรเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวพิสูจน์ตัวตน และบันทึกข้อมูลตั้งแต่การขอบรรพชาอุปสมบท การโยกย้ายวัด การเลื่อนสมณศักดิ์ จนถึงการลาสิกขา พร้อมเหตุผลและหลักฐานประกอบ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น 1.ข้อมูลแม่นยำและอัปเดตเรียลไทม์ ลดความผิดพลาดและซ้ำซ้อน 2.ลดความโกลาหลจากการเก็บข้อมูลซ้ำหลายหน่วยงาน 3.เพิ่มความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นจากสังคม 4.รองรับยุทธศาสตร์รัฐบาลดิจิทัล และเสริมความมั่นคงของพระพุทธศาสนา