โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ทำไม ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ถึงทะยานไม่หยุด

การเงินธนาคาร

อัพเดต 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ในยุคที่ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ทำลายสถิติราคาสูงสุดใหม่ (All-Time High) อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนหลายรายกำลังเผชิญกับคำถามเดียวกัน “ตอนนี้ยังเข้าลงทุนได้อีกหรือไม่” บางคนกังวลว่าการเข้าลงทุนในขณะที่ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูงสุดอาจเสี่ยงต่อการสูญเสีย ขณะที่อีกกลุ่มรู้สึกเสียใจที่ “ตกรถ” และพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการฟื้นตัวของตลาดที่ผ่านมา

พงษ์ธร ถาวรธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ลีฟแคปปิตอล จำกัด ได้เขียนบทความเรื่อง 5 เรื่องต้องรู้ กับหุ้น All-Time High โดยระบุว่า ความจริงแล้ว สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ การเข้าใจพฤติกรรมของตลาดทุนและการวางแผนการลงทุนที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เผชิญกับความไม่แน่นอนมากมาย ทั้งนโยบายการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงปัญหาหนี้สินภายในประเทศ แต่ตลาดหุ้นกลับปรับขึ้นจนทำ All-Time High (จุดสูงสุดตลอดกาล)อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ช่วยคลี่คลายความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ คือ

ความชัดเจนด้านนโยบายการค้า ประเด็นเรื่องภาษีนำเข้า (Tariff) มีความชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง สามารถช่วยลดความไม่แน่นอนและสนับสนุนให้มูลค่าหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กฎหมายภาษีและงบประมาณขนาดใหญ่ หรือ One Big Beautiful Bill ก็ผ่านสภาแล้ว จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้อย่างมีนัยสำคัญ
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูง แต่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกายังคงออกมาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานที่ดีเกินคาด
5 ประเด็นสำคัญ ตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครึ่งปีหลัง

ความชัดเจนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์ลงทุนในสหรัฐอเมริกามากขึ้น แต่คำถามตามมา คือ หากสนใจลงทุนในครึ่งหลังปีนี้จะทันหรือไม่ คำตอบคือ สามารถลงทุนได้แต่ควรพิจารณา 5 ประเด็นเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

1. ตลาดหุ้นนำเศรษฐกิจจริงเสมอ (อย่ารอจนสายเกินไป)

โดยปกติตลาดหุ้นจะวิ่งนำเศรษฐกิจประมาณ 6 - 9 เดือน สิ่งที่เห็นตลาดหุ้นปรับขึ้นในตอนนี้ คือ การสะท้อนถึงสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลังไปแล้วส่วนหนึ่ง เช่น ดัชนี S&P500 เคยปรับลดลงแรง 20% เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเพราะกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อ แต่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นสะท้อนความเชื่อมั่นใหม่เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น อย่ารอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจนแล้วค่อยเข้าลงทุน เพราะหุ้นอาจปรับขึ้นไปก่อนแล้ว

2. อนาคตเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น (โอกาสของนักลงทุน)

สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มลงทุนหรือทยอยเข้าลงทุน ถือเป็นข่าวดี เพราะช่วงครึ่งปีหลังคาดการณ์ว่าสถานการณ์การลงทุนจะมีความแน่นอนมากกว่าความไม่แน่นอน ความชัดเจนจะมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น ทิศทางเงินเฟ้อที่เข้าสู่เป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) และข้อตกลงเรื่องภาษีนำเข้าที่หาข้อสรุปได้ ซึ่งตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกกับความชัดเจนเหล่านี้ ทำให้สามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

3. ความขัดแย้ง/สงคราม ไม่มีผลในระยะยาว (อย่าตื่นตระหนกเกินไป)

หลายครั้งที่เห็นข่าวความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จนเกิดความกังวล แต่ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความขัดแย้งหรือสงครามไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะยาว แม้จะมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ตึงเครียด เช่น ความไม่แน่นอนของข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ตลาดหุ้นก็ยังคงแข็งแกร่ง ที่จบลงอย่างรวดเร็วใน 12 วัน เพราะประวัติศาสตร์ชี้ว่าความขัดแย้งในภูมิภาคมักไม่กระทบวงจรเศรษฐกิจโลกมากนัก ดังนั้น หากในครึ่งปีหลังเกิดความกังวลเรื่องสงครามขึ้นมาอีกครั้ง นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกมากเกินไป ควรตั้งสติให้ดี แล้วมองภาพรวมระยะยาว

4. หุ้นกลุ่ม AI และ Big Tech ยังคงเดินหน้าต่อ (เทคโนโลยี คือ อนาคต)

ก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายกังวลว่าการลงทุนในเทคโนโลยีมากเกินไป หรือการเข้ามาของ Deepfake อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แต่สถานการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่ายังไม่เกิดขึ้นจริง บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Google, Amazon, Nvidia) ยังคงสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการได้ตามข้อตกลง

กระแสลงทุนใน AI ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาด โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกา เช่น NVIDIA ที่ยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง หุ้นที่มีงบการเงินแข็งแกร่ง มีอนาคต และมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ในครึ่งปีหลัง

5. ความเสี่ยงของการจับจังหวะตลาด (ลงทุนระยะยาว คือ คำตอบ)

การพยายามจับจังหวะเพื่อซื้อที่จุดต่ำสุดหรือขายที่จุดสูงสุดเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และอาจทำให้เสียโอกาสในการทำกำไรได้มาก โดยข้อมูลแสดงให้เห็นว่าในช่วงเดือนมีนาคม - กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีเงินทุนกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลออกจากสินทรัพย์ลงทุนในสหรัฐอเมริกา และตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วจากความกังวล

ซึ่งหมายความว่านักลงทุนจำนวนมากพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการฟื้นตัวของตลาด ดังนั้น หากตอนนี้รู้สึกว่า “ตกรถ” ก็ไม่ได้ตกรถคนเดียว ยังมีคนอีกมากที่พลาดโอกาสไปพร้อมกัน สะท้อนว่าการตัดสินใจจากอารมณ์หรือข่าวระยะสั้นมักนำไปสู่ผลตอบแทนที่ไม่ดี นักลงทุนจึงควรเน้นการลงทุนระยะยาวและหลีกเลี่ยงการไล่ซื้อหุ้นที่ปรับขึ้นแรง

คำแนะนำการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2568

สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นสหรัฐอเมริกา มาโดยตลอดและได้รับผลตอบแทนที่ดี แนะนำให้ Stay Invest หรือคงการลงทุนต่อไป แม้ตลาดจะดูแพงแล้วก็ตาม แต่คำแนะนำ คือ

  • กระจายการลงทุนไปในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก เน้นธุรกิจที่กำลังเติบโตและราคาหุ้นยังไม่ได้แพงเกินไป
  • กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (เช่น Big Beautiful Build) มี 4 กลุ่มหลักที่น่าสนใจได้แก่ Biotech, Fintech (ที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency), AI, และพลังงานนิวเคลียร์
  • หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 (นางฟ้าทั้ง 7) หากถือหุ้นกลุ่มนี้และพอใจกับผลตอบแทนก็ไม่จำเป็นต้องขาย แต่สำหรับเงินลงทุนก้อนใหม่ควรการกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มอื่น ๆ
  • กระจายความเสี่ยงไปหลายประเทศ แม้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะทำ All-Time High แต่ปีนี้ตลาดหุ้นอื่น ๆ เช่น ยุโรป เยอรมนีหรือเกาหลีใต้ ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน จึงควรกระจายเงินลงทุนไปในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางทั่วโลกกว่า 70% กำลังมีนโยบายปรับอัตราลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเชิงบวกทั้งตลาดหุ้นทั้งในตลาดเกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้ว
  • สินทรัพย์ทางเลือก การลงทุนในน้ำมันน่าสนใจกว่าทองคำ เพราะทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่น่าสนใจมากนักในวันที่สถานการณ์ต่าง ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น (เช่น นโยบายการค้า สงคราม) เพราะทองคำมักจะปรับตัวขึ้นในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง

การที่หุ้นสหรัฐอเมริกาทำจุดสูงสุดใหม่ สะท้อนความเชื่อมั่นต่ออนาคตจากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ความชัดเจนของนโยบาย ความแข็งแกร่งต่อความเสี่ยงโลก และนวัตกรรม AI แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ การเข้าใจหลักการลงทุนและนำไปปรับใช้กับพอร์ตอย่างมีวินัย “จงอย่ากลัวที่จะพลาดโอกาส แต่จงกลัวที่จะไม่เรียนรู้และปรับตัว” เพราะการลงทุน คือ การเดินทางระยะยาว

ที่มา : setinvestnow.com

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์หุ้นไทย-ตลาดหุ้นไทย ได้ที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก การเงินธนาคาร

สิงคโปร์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2025 หลังไตรมาส 2 เติบโตเกินคาด

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลาดโล่งอก ทรัมป์ ยุติข่าวลือ ยืนยันไม่เก็บ ภาษีนำเข้าทองคำแท่ง

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...