วิกฤตชายแดน...ภาพสะท้อนภาวะผู้นำไทย-กัมพูชา
รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ผู้นำไทยและกัมพูชาต้องถูกทดสอบภาวะผู้นำอย่างเข้มข้นที่สุดในรอบทศวรรษ หลังเกิดการปะทะกันบริเวณชายแดนด้วยอาวุธหนัก จนก่อให้เกิดผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย รวมถึงต้องอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เสี่ยงอีกหลายแสนคน แต่ไม่ใช่เท่านี้ยังมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการหยุดชะงักของการค้าและการท่องเที่ยว ด้วยสถานการณ์ที่รุมล้อมและกดดันสูงอีกด้านหนึ่งกลายเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะ จุดแข็ง และรูปแบบการนำประเทศ
เมื่อทั้งสองประเทศต้องเผชิญวิกฤตในช่วงที่โครงสร้างผู้นำกำลังเปลี่ยนแปลง ฝั่งไทยเผชิญกับ "สุญญากาศผู้นำ" หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ทำให้นายภูมิธรรม เวชยชัย ขึ้นมารักษาการนายกฯ ท่ามกลางความกดดัน ขณะที่ฝั่งกัมพูชา แม้พล.อ.ฮุน มาเนต เป็นนายกฯ อย่างเป็นทางการ แต่อดีตนายกฯ ฮุน เซน ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญเบื้องหลัง ก่อให้เกิด “ระบบอำนาจสองชั้น” ที่ซับซ้อนยิ่ง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากจะเป็นบททดสอบด้านความมั่นคงและการทหารแล้ว ยังเป็นสนามสอบภาวะผู้นำของทั้งสองประเทศในหลายมิติ ตั้งแต่ความสามารถในการรักษาความชอบธรรมทางการเมือง การสื่อสารกับสาธารณะ การจัดการความคาดหวังของประชาชนและนานาชาติ ตลอดจนการสร้างความมั่นคงต่อเนื่องในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจ และผลกระทบต่อความมั่นคงของภูมิภาคอาเซียน
ความชอบธรรมทางการเมือง ฝั่งไทยต้องบริหารวิกฤตโดยใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศและกลไกอาเซียน แทนที่การใช้อำนาจแข็งกร้าว ภูมิธรรมเลือก “การทูตเงียบ” เช่น เชิญผู้สังเกตการณ์จากมาเลเซีย ซึ่งสะท้อนความเข้าใจว่าความชอบธรรมในโลกปัจจุบันมาจากการรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ไม่ใช่เพียงการใช้กำลัง แต่ฝั่งกัมพูชากลับใช้ “อำนาจสองชั้น” อย่างชัดเจน โดย ฮุน มาเนตทำหน้าที่นักการทูต ขณะที่ฮุน เซนใช้การปลุกกระแสชาตินิยมและโจมตีผู้นำไทยอย่างเข้มข้น ทำให้กัมพูชาสามารถต่อรองได้ทั้งในเวทีโลกและในประเทศ
การสื่อสารกับสาธารณะ ฝั่งไทยใช้ภาษาของสถาบัน เน้นความรับผิดชอบและการอ้างอิงกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ แม้บางฝ่ายมองว่า “อ่อนเกินไป” แต่สอดคล้องกับแนวทางการเมืองโลกสมัยใหม่ ส่วนฝั่งกัมพูชา ใช้ “การสื่อสารสองเสียง”
ฮุน มาเนตใช้ภาษาทางการ เน้นการแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนและความเปิดกว้างต่อการเจรจา ส่วนฮุน เซนใช้ถ้อยคำ
เร้าอารมณ์ปลุกระดมความภาคภูมิใจของชาวกัมพูชาและสามารถใช้โลกโซเชียลเข้าถึงทั้งประชาคมโลกและคนในประเทศ
การจัดการความคาดหวังของประชาชนและนานาชาติ ไทยสามารถผลักดันข้อตกลงหยุดยิงภายใน 10 วัน ถือเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมาย เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดด้านประสบการณ์การจัดการวิกฤตระหว่างประเทศ แต่ได้อาศัยประโยชน์จากเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการสร้างแรงกดดันทางศีลธรรมจากประชาคมโลก สะท้อนถึงประสิทธิภาพการใช้ “Soft Power” ของผู้นำประเทศไทย
ฟากกัมพูชาเน้นการเจรจาจากจุดแข็ง โดยเข้าร่วมเจรจาหยุดยิงในฐานะฝ่ายที่มี "อำนาจต่อรอง" แสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของกลยุทธ์ "แรงกดดันสูงสุด" ที่ใช้ทั้งการปลุกระดมในประเทศและการสร้างความกดดันทางการเมืองต่อไทย ระบบอำนาจสองชั้นช่วยให้กัมพูชาปรับความรุนแรงของการต่อรองได้ตามสถานการณ์ และเมื่อต้องการลดสถานการณ์ความตึงเครียด ฮุน มาเนตก็จะแสดงบทบาทผู้นำที่มีเหตุผล แต่เมื่อต้องการเพิ่มแรงกดดัน ฮุน เซนก็จะออกมาสร้างความรุนแรงเพิ่มเติม
สำหรับบทเรียนระยะยาวของการเป็นผู้นำไทย-กัมพูชา ในแง่การสร้างความมั่นคงต่อเนื่องพบว่าวิกฤตครั้งนี้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างพื้นฐานระหว่างระบบการเมือของทั้งสองประเทศ ฝั่งไทยมีความเปราะบางที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่ไม่คาดคิด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการใช้กลไกสถาบันเพื่อแก้ไขปัญหา ขณะที่กัมพูชาแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของโครงสร้างอำนาจ แต่ลึก ๆ แล้วเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนที่อาจเป็นปัญหาระยะยาว การมีผู้นำสองคนในบทบาทที่แตกต่างกันอาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับคู่เจรจาในอนาคต
วิกฤตไทย-กัมพูชานี้นอกจากจะเป็นการทดสอบภาวะผู้นำสองประเทศแล้ว ยังเป็นลากยาวถึงการทดสอบความมั่นคงของภูมิภาคอาเซียน ว่ากลไกอาเซียนเข้มแข็งพอในการจัดการความขัดแย้งหรือไม่ การที่มาเลเซียสามารถเข้ามาเป็นตัวกลางได้อย่างดี ย่อมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการทูตพหุภาคีในภูมิภาค
ภาพสะท้อนของผู้นำยามวิกฤตระหว่างประเทศไทย–กัมพูชาครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่ยังหาข้อตกลงไม่ได้ชัด ๆ แต่ก็กลายเป็นบทสะท้อนถึงความจริงของการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ บนโลกที่ซับซ้อน เชื่อมโยง และไร้ความแน่นอน ไม่มีสูตรสำเร็จของผู้นำที่ใช้ได้ตลอด มีเพียงความสามารถในการปรับตัว ใช้จุดแข็งของระบบ และเข้าใจข้อจำกัดของตนเอง
วันนี้ การวัดคุณค่าของผู้นำ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนอาวุธหรือกำลังพล แต่อยู่ที่ความกล้าหาญที่จะเลือกสันติวิธี เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้นำที่แท้จริง คือผู้ที่รักษาอำนาจของตน ควบคู่กับรักษา “ความหวัง” ของผู้คนเอาไว้ด้วย แล้วคุณล่ะ…ในวันที่วิกฤตมาเยือน จะเลือกเป็นผู้นำแบบไหนกันครับ?