สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 6 ส.ค. 68
1. สรุปสถานการณ์น้ำ และปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เชียงราย (79 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.สกลนคร (52 มม.) จ.กาญจนบุรี (42 มม.) ภาคกลาง : กรุงเทพมหานคร (50 มม.) ภาคตะวันออก : จ.นครนายก (51 มม.) ภาคใต้ : จ.ปัตตานี (47 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน”ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักบางพื้นที่
คาดการณ์ : ในช่วงวันที่ 8 - 9 ส.ค. 68 ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนน้อย แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ส่วนในช่วงวันที่ 10 - 11 ส.ค. 68 ประเทศไทยจะเริ่มมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากจะมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 65% ของความจุเก็บกัก (52,404 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 48% (28,285 ล้าน ลบ.ม.)
3. พื้นที่ประสบอุทกภัย : สถานการณ์อุทกภัย วันที่ 5 ส.ค. 68 ในพื้นที่ 2 จ. 6 อ. ได้แก่ จ.สุโขทัย (อ.เมืองสุโขทัย ศรีสำโรง สวรรคโลก และศรีนคร) และ จ.พิษณุโลก (อ.บางระกำ และนครไทย)
4.ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (5 ส.ค. 68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยว่า จากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อนสิริกิติ์เป็นจำนวนมาก โดยเขื่อนสิริกิติ์ได้ทำหน้าที่หน่วงน้ำเพื่อช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ และสนับสนุนให้การระบายน้ำจากลุ่มน้ำยมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกในพื้นที่ตอนบนของประเทศน้อยลง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำและลำน้ำต่าง ๆ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถานการณ์อุทกภัยในลุ่มน้ำยม - น่าน เริ่มคลี่คลาย จึงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ใช้ช่วงเวลานี้ในการทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ จากอัตรา 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 40 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 68 ได้ปรับเพิ่มเป็น 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน รวมถึงจะเพิ่มการระบายน้ำในช่วงวันที่ 5 – 15 ส.ค. โดยคงอัตราที่ 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อพร่องน้ำสำหรับเตรียมพื้นที่ว่างรองรับฝนที่คาดว่าจะตกหนักในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งได้สั่งการให้มีการติดตามวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบของประชาชนทั้งเหนือน้ำและท้ายน้ำเป็นอันดับแรก
สำหรับมวลน้ำที่ระบายจากเขื่อนสิริกิติ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยาให้สูงขึ้น ทำให้เมื่อวันที่5 ส.ค. 68 เขื่อนเจ้าพระยาสามารถปรับลดอัตราการระบายจาก 900 ลบ.ม. ต่อวินาที เหลือ 800 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยมีการบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาด้วยการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ตามศักยภาพของคลอง เพื่อลดผลกระทบด้านท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วง 2–3 วันนี้ มีแนวโน้มฝนจะเพิ่มขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และปริมาณฝนจะตกหนักอีกครั้งในช่วงหลังกลางเดือนสิงหาคม จึงขอให้ประชาชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยายังคงยกของขึ้นที่สูงไว้เช่นเดิม เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 4 ส.ค. 68