“สุรทิน” ยันไม่มีใบสั่งแจ้ง 112 “ภูมิธรรม” แจงไปแจ้งในฐานะผู้จงรักภักดีในสถาบัน เหตุยุบสภา
“สุรทิน” ยันไม่มีใบสั่งแจ้ง 112 “ภูมิธรรม” แจงไปแจ้งในฐานะผู้จงรักภักดีในสถาบัน เหตุยุบสภา ระคายเบื้องพระยุคลบาท
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 68 ที่รัฐสภา นายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แจ้งความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า ต้นรักสถาบันคิดว่าในฐานะที่เป็นพสกนิกรสิ่งที่นายภูมิธรรมทำนั้นระคายเคืองพายุระบาดตนในฐานะผสมนิกรจึงปกป้องสถาบันซึ่งความคิดมีแค่นั้นไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้เพราะเทิดทูนสถาบันไว้เหนือหัว
เมื่อถามว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมนั้นคืออะไร นายสุรทินเผยว่า คิดว่ามีอำนาจที่จะไปยื่นยุบสภาในการไปทำอย่างนั้นเพราะตนมองว่ากฤษฎีกาก็แนะนำไว้อยู่แล้วว่าไม่สามารถยื่นยุบสภาได้หากฝ่าฝืนไปยื่นตนในฐานะผสมนิกรก็ปกป้องสถาบัน
เมื่อถามถึงความกังวลที่หากประชาชนไม่ยกมือโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากมีเงื่อนไขในมาตรา 112 นายสุรทินเผยว่า ไม่กังวลเพราะพรรคประชาธิปไตยใหม่พร้อมทุกอย่าง
เมื่อถามว่าตอนไปแจ้งความได้มีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่นายสุรทิน ตนไม่ได้พูดกับใคร ก่อนจะกล่าวเป็นภาษาอีสานว่า “บ่ได้เว้ากับผู้ได บ่ได้ออนซอนใครเลย” ส่วนเรื่องยกมือก็เป็นเรื่องของพรรคร่วมและเรื่องของนายกรัฐมนตรี
“ กราบเรียนว่าที่ไปเมื่อวานด้วยความที่เป็นพสกนิกรที่จงรักภักดีต่อสถาบันไม่ได้มีอย่างอื่นเลยใครจะไปมองประเด็นไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับความรู้สึกของสส.สุรทิน” นายสุรทินกล่าว
เมื่อถามย้ำว่าพอตนไปแจ้งความแล้วตำรวจได้ว่าอย่างไร นายสุรทิน กล่าวว่า ตำรวจก็ประชุมกันเพราะเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากตนไปแจ้งมาตรา 112 กว่าจะสรุปตำรวจก็ดำเนินการไปตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานเรื่องก็จบไปไปตั้งแต่ 13.00 น. กว่าจะเสร็จก็ 20.00 น. ซึ่งตำรวจก็ต้องถามเป็นลำดับไปว่าได้รับข้อมูลจากใครมาซึ่งก็มีข้อมูลจากโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ เพราะก็มีหลักฐานที่แถลงว่าจะยุบสภาทุกวันในฐานะที่เราเป็นประสบนิกรเราถือว่าจะระคายเคืองต่อพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปแจ้งความ
เมื่อถามย้ำว่ายืนยันหรือไม่ว่าไม่มีใบสั่งให้ไปแจ้งความ นายสุรทิน กล่าวว่าใครจะมาสั่ง ส่วนประเด็นเรื่องการตีกลับพ.ร.ฎ.นั้น ตนมองว่า พอแจ้งความเสร็จประเมินว่าไม่น่าถูกต้อง เพราะเรายึดกฤษฎีกาเป็นหลักเพราะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล