อันตรายซ่อนอยู่ใน "ยาไอบูโพรเฟน" 3 เหตุผลที่หมอไม่อยากให้ใช้ในเด็ก
อันตรายที่ซ่อนอยู่ใน "ไอบูโพรเฟน" เหตุผลที่หมอไม่อยากให้ใช้ในเด็ก แล้ว "พาราเซตามอล" ปลอดภัยกว่าจริงไหม? สิ่งสำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองต้องรู้เมื่อเด็กเป็นไข้ ต้องทำอย่างไร
อาการไข้ในเด็ก ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่เกือบทุกคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและเด็กเล็ก เมื่อเห็นลูกตัวร้อน หน้าแดง ซึม หรือร้องไห้ไม่หยุด หลายครอบครัวมักเลือกใช้ “ยาไอบูโพรเฟน” (Ibuprofen) เพราะเชื่อว่าสามารถลดไข้ได้เร็วและมีฤทธิ์นานกว่าพาราเซตามอล แต่ท่ามกลางความนิยมนี้ กลับมีคำเตือนจากแพทย์หลายคนว่า “ไม่ควรใช้ไอบูโพรเฟนในเด็กโดยไม่จำเป็น” หรือบางกรณีก็ไม่ควรใช้เลย
อะไรคือเหตุผลที่แพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ยาไอบูโพรเฟนกับเด็กในบางสถานการณ์? ยานี้มีผลข้างเคียงอะไรที่พ่อแม่อาจไม่รู้? และหากไม่ใช้ไอบูโพรเฟน จะดูแลเด็กอย่างไรเมื่อมีไข้สูง?
เพจฯ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า ให้ข้อมูลในหัวข้อ "ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen)" ทำไมถึงเป็นยาลดไข้ที่หมอไม่อยากให้ใช้แต่พ่อแม่กลับชอบกันมาก ?
เวลาลูกมีไข้สูง พ่อแม่หลายคนเลือก ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เหตุผลหลักๆ คือ… “ลดไข้ได้เร็วและนานกว่า” และ “กลัวลูกไข้สูงแล้วจะชัก”
แต่จริงๆ แล้ว มี 2 ข้อสำคัญจากคำแนะนำราชวิทยาลัยกุมารฯ ที่อยากให้พ่อแม่จำขึ้นใจเลยครับ
1. การลดไข้ ทำเพื่อให้ลูกสุขสบายตัว ไม่ใช่เพื่อกดตัวเลขอุณหภูมิลงเท่านั้น
2. การลดไข้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามไม่สามารถป้องกันการชัก
(เหตุผลทั้งหมด ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว สามารถอ่านได้จาก link ในคอมเมนต์นะครับ)
ยาลดไข้ทำไมถึงไม่สามารถป้องกันชักในเด็กได้
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122180988914560925&id=61566827775224
คำแนะนำเรื่องการดูแลไข้ในเด็ก ฉบับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122177170202560925&id=61566827775224
สรุปเรื่องการดูแลไข้ในเด็ก
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=122175335168560925&id=61566827775224
ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ทำไมถึงถูกเรียกว่า “ยาลดไข้สูง”?
ความจริง ในต่างประเทศ ไม่มีการแบ่งแบบนี้นะครับ ทั้งพาราเซตามอล (paracetamol) และไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ก็คือ “ยาลดไข้” เหมือนกัน
• ในต่างประเทศจะให้เริ่มจาก พาราเซตามอล (paracetamol) ก่อนและให้ได้ทุกๆ 4 ชั่วโมง
• ถ้ายังไม่ถึง 4 ชั่วโมง แต่ลูกมีไข้และดูไม่สุขสบาย → ค่อยพิจารณาใช้ไอบูโพรเฟน (ibuprofen)
อันตรายที่ซ่อนอยู่ในไอบูโพรเฟน (ibuprofen)
แม้จะช่วยลดไข้ได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงมากกว่าพาราเซตามอล
1. กัดกระเพาะ → โดยเฉพาะถ้ากินตอนท้องว่าง อาจปวดท้องได้
(เด็กมักไข้สูงกลางคืน พ่อแม่บางคนก็ปลุกมากินไอบูโพรเฟนตอนท้องว่าง สุดท้ายลูกก็ปวดท้องได้นะครับ)
2. ทำให้ไตวาย→ ถ้ากินยาตอนเด็กมีภาวะขาดน้ำ (เช่น อาเจียน ถ่ายเหลว ดื่มน้ำน้อย)
3. ห้ามใช้ในไข้เลือดออก→ เพราะทำให้เลือดออกง่าย บางรายถึงขั้นเลือดออกในสมอง
ต่างประเทศ (อเมริกา ยุโรป) เค้าใช้ไอบูโพรเฟนได้สบายใจกว่า เพราะไม่มีโรคไข้เลือดออกเหมือนไทยครับ
แล้วพาราเซตามอล (paracetamol) ปลอดภัยกว่าจริงไหม?
• ใช้ได้บ่อยกว่า ผลข้างเคียงน้อยกว่า
• แต่ต้องคำนวณขนาดยาตามน้ำหนัก (10–15 มก./น้ำหนักตัว1กิโลกรัม) ให้ถูกต้อง
• ยาน้ำพาราเซตามอลมีหลายความเข้มข้น ไม่เหมือนกันทุกขวด เช่น 100 mg/1ml, 120mg/5ml, 160mg/5ml หรือ 250mg/5ml
• ถ้าใช้ยาเกินขนาดก็อันตรายได้เช่นกัน
ตัวอย่างเคสจริงที่เคยเจอ
>> มีเด็กที่ต้องเข้ารับการปลูกถ่ายตับ เพราะกินพาราเซตามอล (paracetamol) เกินขนาด
>> สาเหตุเกิดจากคุณแม่เข้าใจผิด คิดว่ายาพาราทุกขวดเหมือนกัน เลยให้ลูกกินปริมาณเดิมที่เคยได้ (120mg/5ml) คือ 5 ซีซี
>> แต่รอบนั้นยาที่ได้จากร้านยาเป็นสูตรเข้มข้นกว่าเดิมมาก (100mg/1ml) ซึ่งจริงๆ แล้วลูกควรได้รับแค่ 1 ซีซี เท่านั้น
>> กลายเป็นว่าลูกได้รับยาเกินขนาดถึง 5 เท่า → ส่งผลให้ตับวายอย่างรุนแรง ปวดท้อง ตาเหลือง ตัวเหลือง จนต้องเข้ารับการปลูกถ่ายตับ
ก่อนใช้ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ต้องมั่นใจก่อนว่า ไม่ใช่ไข้เลือดออก เวลาพ่อแม่พาลูกไปหาหมอ แล้วหมอจ่ายยาไอบูโพรเฟนให้ แปลว่าหมอได้ประเมินแล้วว่า ไข้ครั้งนั้นไม่ใช่ไข้เลือดออก จึงถือว่าปลอดภัยที่จะใช้ได้
แต่สิ่งสำคัญคือ…
ไม่ได้หมายความว่า ถ้าลูกมีไข้ครั้งต่อไป จะหยิบไอบูโพรเฟนมาใช้เองได้ทุกครั้งนะครับ เพราะสาเหตุของไข้อาจต่างกันไป และถ้าเป็นไข้เลือดออก แล้วใช้ยาไอบูโพรเฟน อาจทำให้เลือดออกได้ง่ายและอันตรายมาก
สุดท้ายนี้…
การแก้ปัญหาการใช้ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) เกินความจำเป็น ไม่ใช่แค่การให้ความรู้เรื่องยาลดไข้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการ ปรับความเข้าใจเรื่อง “ไข้” ด้วยครับ
เพราะตราบใดที่เรายังเชื่อกันว่า…“ไข้สูง = เด็กต้องชัก” และ “ยาไอบูโพรเฟนคือยาลดไข้แรงที่ต้องรีบใช้”
เราก็จะไม่มีวันลดการใช้ไอบูโพรเฟนในสังคมไทยได้เลย เพราะความกลัวว่า “ลูกไข้สูงแล้วจะชัก” จะทำให้พ่อแม่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรีบกดไข้ลงให้เร็วที่สุด
การเปลี่ยนความเชื่ออาจใช้เวลา แต่ถ้าเราเริ่มปรับทีละนิดในวันนี้ วันหนึ่งเราก็จะไปถึงจุดที่พ่อแม่มั่นใจในการดูแลลูก โดยไม่ต้องให้ยามากเกินจำเป็นครับ