ย้อนรอยเขมรแดง - ทุ่งสังหาร บาดแผลลึกที่ยังหลอกหลอน
เมื่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกคร่าชีวิตราว 2 ล้านคน
ย้ำอีกครั้งว่า บทความนี้ ไม่มีความมุ่งหมายหรือประสงค์ต่อการเหยียดเชื้อชาติแต่อย่างใด แต่เพื่อบอกเล่าอธิบายถึงความน่าสงสารและความไม่รู้ของประชาชนชาวเขมร พลเมืองของประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้สำนึกในบุญคุณของราชอาณาจักรไทยที่เคยโอบอุ้มดูแลชาวเขมรหลายแสนคนในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขมรเองแม้แต่น้อย
เรื่องที่น่าตกใจและประหลาดใจที่สุดคือ การศึกษาประวัติศาสตร์ในระบบการศึกษาของไทยค่อนข้างจะมีปัญหาเป็นอย่างยิ่ง เพราะประชาชนคนไทยส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า “วัฒนธรรมทวารวดี” ที่เป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุในบ้านเราเป็นจำนวนมากนั้นได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมเขมร แต่ความเป็นจริงแล้ว “วัฒนธรรมทวารวดี” เป็นวัฒนธรรมที่ผู้คนในสุวรรณภูมิในสมัยนั้น (ราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน) รับเอามาจากวัฒนธรรมอินเดียผ่านศาสนาพุทธนิกายเถรวาท รวมทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ด้วยมีการติดต่อค้าขายระหว่างกันในยุคสมัยนั้น
“วัฒนธรรมทวารวดี” เป็นวัฒนธรรมโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนภาคกลางของประเทศไทย โดยมีเมืองสำคัญ ได้แก่ นครปฐม อู่ทอง และ ลพบุรี ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตก “วัฒนธรรมทวารวดี” อยู่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11 ถึง 16 ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอินเดียผ่านเส้นทางการค้า ทั้งด้านศาสนา ศิลปกรรม และระบบการปกครอง โดยลักษณะสำคัญของ “วัฒนธรรมทวารวดี” มี ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท เป็นศาสนาหลัก โดยรับอิทธิพลจากอินเดีย “วัฒนธรรมทวารวดี” จึงเป็นวัฒนธรรมที่มีการกำเนิดก่อเกิดในดินแดนสุวรรณภูมินี้เอง แล้วต่อมาด้วย “วัฒนธรรมสมัยสุโขทัย” “วัฒนธรรมสมัยอยุธยา” “วัฒนธรรมสมัยธนบุรี” (สั้น ๆ) และ “วัฒนธรรมสมัยรัตนโกสินทร์” จนปัจจุบันทุกวันนี้
เรื่องราวของ "เขมร…ชนชาติที่ถูกคำสาป" ปรากฏชัดเจนที่สุดจนเป็นทั้งความโชคร้าย โศกเศร้า และมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของเขมร ได้แก่ ระบอบเขมรแดงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 1975–1979 เมื่อ พอล พต และระบอบคอมมิวนิสต์หัวรุนแรงเข้ายึดครองเขมร เขมรแดง (Khmer Rouge) เป็นชื่อเรียกของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองและการทหารในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และเป็นที่จดจำจากการก่อ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) ที่โหดร้ายที่สุดในศตวรรษที่ 20 “เขมรแดง” หรือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (Communist Party of Kampuchea: CPK) มี พลพต เป็นผู้นำสูงสุด
แม้ว่า กษัตริย์สีหนุจะทรงเป็นที่รักของชาวเขมรจำนวนมากก็ตาม แต่การปกครองแบบเผด็จการของพระองค์กลับก่อให้เกิดกองกำลังต่อต้านใต้ดิน โดยในปี 1960 ชาวเขมรกัมพูชากลุ่มเล็ก ๆ นำโดย สลอธ ซาร์ (เปลี่ยนชื่อเป็น พอล พต ในเวลาต่อมา) และนวน เจีย ได้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาขึ้นอย่างลับ ๆ ขบวนการนี้ต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อเขมรแดง หรือ “เขมรแดง” โดยจัดตั้งเป็นกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ในป่าเขาที่ห่างไกลและพื้นที่ภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ในช่วงแรกเริ่ม “เขมรแดง” มีความก้าวหน้าทางการเมืองและการทหารน้อยมาก แต่หลังจากการรัฐประหารโดยนายพลลอนนอลโค่นล้มกษัตริย์นโรดมสีหนุผู้นำแห่งรัฐในปี 1970 เขมรแดงก็เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับกษัตริย์สีหนุ และเริ่มได้รับการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น จากสงครามกลางเมืองที่กินเวลานานเกือบห้าปี (1970 - 1975) อำนาจของเขมรแดงในชนบทก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น จนในที่สุดกองกำลังเขมรแดงก็สามารถยึดครองกรุงพนมเปญเมืองหลวง และประเทศเขมรโดยรวมได้ในปี 1975
ด้วยแรงบันดาลใจจากคำสอนของเหมาเจ๋อตง เขมรแดงจึงได้ยึดถืออุดมการณ์เกษตรกรรมสุดโต่งที่ตั้งอยู่บนการปกครองแบบพรรคเดียวที่เข้มงวด ปฏิเสธแนวคิดแบบเมืองและแบบตะวันตก และยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคล ผู้นำเขมรแดงเชื่อว่า การเพิ่มผลผลิตอาหารผ่านการทำเกษตรกรรมแบบรวมกลุ่มจะช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประชากรชาวแขมรในหมู่บ้านที่ยากจนอย่างมากมาย นอกจากนั้นยังเน้นย้ำถึงการพึ่งพาตนเองและลัทธิชาตินิยมอันเข้มข้น ด้วยการปลุกปั่นว่า เขมรกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการสิ้นชาติจากน้ำมือของศัตรูทางประวัติศาสตร์อย่าง เวียดนาม และไทย (สยาม ในอดีต) และพันธมิตรในยุคสงครามเย็น ภายใต้การปกครองของเขมรแดง ซึ่งบรรดาผู้นำเชื่อว่า เขมรจะกลับคืนสู่อำนาจและชื่อเสียงในระดับนานาชาติดังเช่นที่เคยเป็นในยุคจักรวรรดิขะแมร์
เขมรภายใต้การปกครองของเขมรแดง นำลัทธิคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่งมาใช้ ด้วยต้องการที่จะลบล้างระบบชนชั้น สังคมเมือง การศึกษา ศาสนา และสถาบันดั้งเดิมทั้งหมด บังคับให้ประชาชนทั้งหมดให้เป็นชาวนา ย้ายผู้คนจากเมืองไปอยู่ชนบท ไม่มีเงิน ไม่มีตลาด ไม่มีโรงเรียน ไม่มีศาสนา ยกเลิกครอบครัว โดยแยกเด็กจากพ่อแม่ให้รัฐดูแล และเข้าสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประชาชนชาวเขมรถูกสังหารจำนวนมาก หากถูกระบุว่า เป็นศัตรูของรัฐ อาทิ ปัญญาชน ครู นักเรียน แพทย์ ข้าราชการ หรือแม้แต่คนสวมแว่นสายตา ตามสถานที่สังหารหมู่ต่าง ๆ เช่น ทุ่งสังหาร (Killing Fields) คุกตวลสเลง (Tuol Sleng/S-21) โรงเรียนที่กลายเป็นคุกและที่ทรมาน ประมาณว่า ประชาชนชาวเขมรเสียชีวิตราว 1.7 ถึง 2 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมด ด้วยการประหารชีวิต การบังคับใช้แรงงาน ความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บ จากจำนวนประชากรเขมรทั้งหมดในขณะนั้นประมาณ 7–8 ล้านคน
จุดจบของเขมรแดง เกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อเวียดนามส่งกำลังทหารบุกเขมร ด้วยเหตุผลที่เขมรแดงโจมตีชายแดนเวียดนาม และต้องการยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดง ทำให้เขมรแดงต้องล่าถอยไปยังชายแดนไทย เวียดนามได้ตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดในพนมเปญ นำโดย เฮง สัมริน และฮุน เซน ในนามของ "สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (People's Republic of Kampuchea)" ส่วนเขมรแดงยังคงเคลื่อนไหวในฐานะกองกำลังต่อต้านรัฐบาลอยู่นานหลายปี ในปี 1988 เวียดนามเริ่มถอนกำลังบางส่วนออกจากเขมร ต่อมาในปี 1989 เวียดนามประกาศถอนทหารทั้งหมดออกจากเขมร การถอนทหารเวียดนามสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 1989 นำไปสู่กระบวนการสันติภาพ โดยมี สหประชาชาติ (UN) เข้ามามีบทบาท เกิด “ข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Agreements)” ในปี 1991 โดยเขมรแดงยังคงเป็นกองกำลังต่อต้านรัฐบาลอยู่จนถึงปลายทศวรรษ 1990 ผู้นำเขมรแดงหลายคนถูกนำตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศในเวลาต่อมา เช่น “คณะตุลาการพิเศษของกัมพูชา” (Khmer Rouge Tribunal)
เวลา 4 ปีที่เขมรแดงปกครองก่อให้เกิดผลกระทบและบทเรียนกับประเทศนี้อย่างมากมาย โดยเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และจิตใจของประชาชนชาวเขมร อันเป็นผลร้ายจากลัทธิอุดมการณ์สุดโต่งและการล้างสมอง จนเป็นเรื่องเตือนใจที่โด่งดังที่สุดในด้านสิทธิมนุษยชนของประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ ชาวเขมรต้องทนทุกข์ทรมานกับทุ่งสังหาร ซึ่งคาดว่า มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.7 ถึง 2 ล้านคน ปัญญาชน ชนกลุ่มน้อย และบุคคลใดก็ตาม ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบอบการปกครอง จะตกเป็นเป้าในการสังหารของเขมรแดงทันที ดังนั้น สิ่งที่เขมรแดงทิ้งไว้ จึงฝังรากลึกและก่อให้เกิดบาดแผลทางทั้งทางจิตใจและวัฒนธรรมในระดับชาติ ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ ช่วงเวลาแห่งความรุนแรงและการสูญเสียชีวิตอันรุนแรงเช่นนี้ นำไปสู่แนวคิดเรื่องประเทศที่ต้องคำสาป และเป็นที่มาของ “เดอะซีรี่ส์ เขมร…ชนชาติที่ถูกสาป”
(ยังมีต่อ)