คณะทูต 33 ประเทศตะลึง! ทุ่นระเบิด–จรวด BM-21 ฝังชายแดนไทย ชี้ผลกระทบพลเรือนยังหนัก
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน และรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงองค์กรระหว่งประเทศ จำนวน 33 ประเทศ ลงพื้นที่บริเวณหน่วยปฏิบัติการณ์ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยพบทุ่นระเบิดสังหารจริง เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานเก็บกู้ และการตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่พบในพื้นที่ โดยมีสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์ผลการเก็บกู้ และการยึดอาวุธ
เจ้าหน้าที่จากกองพลทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 ได้รายงานสรุปผลการปฏิบัติงานว่า ที่ผ่านมาสามารถเก็บกู้ และตรวจยึดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ทั้งสิ้น 46 ทุ่น โดยในจำนวนนี้มี 16 ทุ่น และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และยังพบทุ่นระเบิดดักรถถัง ลูกจรวด RPG และลูกระเบิดขนาด 60 และ 82 มม. ซึ่งแม้จะมีการประกาศหยุดยิง 2 ประเทศมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ทหารไทย ยังคงตรวจค้นในเขตพื้นที่ประเทศไทยและยังคงพบทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ของฝ่ายกัมพูชาเป็นระยะ
เจ้าหน้าที่ทหารฯ ยังระบุว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตรวจพบส่วนใหญ่ จะถูกฝังอยู่ไม่ลึกจากพื้นดิน และอำพรางด้วยดินและเศษใบไม้ ซึ่งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการค้นหา ส่วนความเสียหายที่เกิด จะแตกต่างกันไป และขึ้นอยู่กับชนิดของรองเท้าที่สวมใส่ พร้อมยืนยันด้วยว่า ยุทโธปกรณ์ที่ตรวจยึดได้ แม้บางส่วนจะดูเก่า แต่ไม่ใช่เป็นอาวุธรุ่นโบราณ เพียงแต่มีสภาพทรุดโทรมจากการเก็บรักษาที่ไม่ดี
คณะทูตานุทูต ส่วนหนึ่งได้สอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งสถานที่ที่ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อานุภาพของทุ่นระเบิด และประเทศที่ผลิตทุ่นระเบิดดังกล่าว
ช่วงท้ายของการเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่ทหารเรือ ยังได้สาธิตวิธีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับชมด้วย
จากนั้น ยังได้ลงพื้นที่ เพื่อสังเกตการณ์บ้านเรือนของประชาชน ในอำเภอกันทรลักษ์ ที่ได้รับผลกระทบจากจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ที่ไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่จุดดังกล่าว อยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนประมาณ 5 กิโลเมตร โดยบริเวณตำบลเสาธงชัย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกกระสุนของฝั่งกัมพูชาหนาแน่นที่สุด มีบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก แต่สาเหตุที่ทำให้มีจำนวนผู้ได้รับผลกระทบบาดเจ็บน้อย เนื่องจาก พื้นที่ได้มีการอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยก่อน เพราะกัมพูชาได้มีการโจมตีในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ก่อน จึงสามารถรักษาชีวิตของประชาชนไว้ได้ แต่ปัจจุบันประชาชนได้กลับเข้าพักที่อาศัยของตนแล้ว แต่บ้านเรือนที่เสียหายบางหลัง ก็ยังไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้ ซึ่งประชาชน ยังต้องไปพำนักอยู่กับญาติ
ทั้งนี้พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวระหว่างการบรรยายสรุปว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงมีท่าทีบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำอาวุธทุ่นระเบิดมาใช้โจมตีฝ่ายไทย โดยพยายามปฏิเสธหลักฐานที่มีอยู่อย่างเป็นระบบ ทั้งอ้างว่าหลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอเป็นการจัดฉาก หรือเป็นเพียงระเบิดตกค้างจากสงครามในอดีต ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง กองทัพบกจึงจำเป็นต้องยืนยันหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาได้ใช้ทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
1. รูปแบบการปฏิบัติทางยุทธวิธี – ทุกครั้งที่กัมพูชาวางกำลัง บริเวณด้านหน้าจะพบแนวทุ่นระเบิดเป็นแนวป้องกัน เช่น ช่องบก (16 ก.ค.) ช่องอานม้า (23 ก.ค.) ปราสาทตาควาย (28 ก.ค.) ฐานกฤษณา (9 ส.ค.) และปราสาทตาเมือนธม (12 ส.ค.) โดยกำลังพลไทยที่ประสบเหตุพบว่าในพื้นที่มักมีทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3–5 ลูก ทั้งที่ระเบิดแล้วและยังไม่ระเบิด ซึ่งถูกวางอย่างเป็นระบบ
2. ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ – มีเพียงฝ่ายไทยและกัมพูชา แต่เหตุการณ์ทั้งหมด 5 ครั้ง มีเพียงฝ่ายไทยที่ได้รับผลกระทบ จึงไม่อาจเป็นไปได้ว่าไทยจะทำร้ายกำลังพลของตนเอง
3. การตรวจพบเพิ่มเติมหลังหยุดยิง – การสถาปนาความมั่นคงโดยทหารช่างที่ภูมะเขือ (4 ส.ค.) พบการซุกซ่อนทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากในแนวกำลังเดิมของฝ่ายกัมพูชา
4. หลักฐานจากสื่อสังคมออนไลน์ – พบภาพอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาที่ไปถ่ายทำคอนเทนต์บริเวณปราสาทตาควาย โดยมีพวงทุ่นระเบิด PMN-2 ปรากฏอยู่ในภาพ
5. ข้อมูลจากแหล่งข่าว – มีคลิปพร้อมเสียงสนทนาของทหารกัมพูชาที่กำลังเก็บและเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อไปวางในพื้นที่ใหม่
6. ท่าทีในเวที GBC – กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยในการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทั้งที่กัมพูชามีภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติว่าเป็นประเทศต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด และได้รับทุนสนับสนุนจำนวนมากในแต่ละปี
7. การเก็บกู้ในพื้นที่เสี่ยงแล้วเสร็จ – TMAC เคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดตกค้างที่ช่องบกและช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ.2019 จำนวน 1,300 ลูก และไม่พบว่ามีทุ่นระเบิดชนิด PMN-2
8. การไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ – TMAC ระบุว่าฝ่ายกัมพูชามักไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในหลายพื้นที่ใกล้แนวเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นข้อพิรุธที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของฝ่ายกัมพูชา
พลตรีวินธัย ย้ำว่า หลักฐานที่ฝ่ายไทยนำเสนอทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้ และมีความจำเป็นต้องเผยแพร่ต่อประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้เห็นชัดเจนว่ากัมพูชาได้ใช้อาวุธทุ่นระเบิดโจมตีฝ่ายไทยจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศ