ลุ้น ‘ทักษิณ’ ติดบ่วงชั้น 14
คงจะบอกว่า การจัดตั้ง "คณะรัฐมนตรี (ครม.)" ภายใต้การนำของ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี เกือบจะเสร็จสมบูรณ์เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว จะเหลือเพียงที่ยังไม่ชัดเจนคือ "รมว.กลาโหม" และ "รมว.ยุติธรรม" ขณะที่ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" หัวหน้าพรรค พปชร. ได้ออกมาชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจตามที่มีกระแสข่าวถึงการต่อรองและแย่งชิง ตำแหน่ง รมว.กลาโหม โดยมีตนเป็นหนึ่งในรายชื่อที่ทำให้ สับสนวุ่นวาย นั้น ว่า มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้รัฐบาล และนายกฯ ได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา โดย ไม่ต้องกังวลต่อการต่อรอง หรือเรียกร้องใดๆ พร้อมทั้งขอประกาศเจตนารมณ์ของตัวเอง ที่จะ ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล รวมถึงตำแหน่ง รมว.กลาโหมตามที่เป็นข่าว
การตัดสินใจในครั้งนี้ เพื่อเปิดทางให้นายกฯได้เร่งสรรหาบุคคล ที่เหมาะสม ที่จะแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถทำงานได้จริง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการต่อรองใดๆ โดยเอาประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งยินดีที่จะสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และพร้อมใช้ความรู้ ประสบการณ์และเครือข่ายระหว่างประเทศ ด้านความมั่นคง ที่มี ถ้าสามารถจะเป็นประโยชน์ได้ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม
ส่วนความคืบหน้าในการจัดตั้ง ครม. ในรัฐบาลของนายอนุทิน แกนนำพรรค ภท. กำลังทาบทาม ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) มารับตำแหน่งรองนายกฯ ด้านกฎหมาย ในส่วนของทีมเศรษฐกิจ ได้เชิญ “คนนอก” มารับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายคน อาทิ รมว.การต่างประเทศ รมว.คลัง รมว.พลังงาน รมช.คลัง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีโปรไฟล์ที่ดีทั้งประวัติ การศึกษา และการทำงาน ที่ตรงกับงานที่จะเข้ามาทำโดยตรง
ขณะที่ ตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม มีแนวโน้มที่จะเป็นนายตำรวจ จึงปรากฏชื่อแคนดิเดต 2 คน ได้แก่ พล.ต.ท.ชาญชัย พงษ์พิชิต และ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ ซึ่งยังไม่เคาะว่าจะเป็นบุคคลใดเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ส่วนตำแหน่ง รมว.กลาโหม คาดว่า จะเป็นโควตา “คนนอก” และมาจากพรรค พปชร. โดยมีชื่อ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในสมัย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด จะเป็น รมช.กลาโหม
สำหรับ ในส่วนของ พรรคกล้าธรรม (กธ.) จำนวน 7 ที่นั่ง แบ่งเป็น 4 รัฐมนตรีว่าการ 3 รัฐมนตรีช่วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นั่ง รองนายกฯ ควบ รมว.เกษตรฯ ส่วนกระทรวงศึกษาธิการ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ นั่งรมว.ศึกษาธิการ ขณะที่ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร นั่ง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ส่วน นายอัครา พรหมเผ่า นั่ง รมว.การพัฒนาสังคมฯ
นั่นหมายความว่า ร.อ.ธรรมนัส ก็ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องในตำแหน่ง "รมว.กลาโหม" หลังจากช่วงแรกมีชื่อว่า จะมีลุ้นในเก้าอี้สำคัญ ด้านความมั่นคง ต้องรอดูว่าในที่สุดจะเป็นไปตามคาดหมายหรือไม่
ด้าน "นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา ให้สัมภาษณ์ถึงโผ ครม.ว่า ต้องปล่อยไปเป็นตามกระบวนการจนกว่าจะมีการถวายสัตย์ รวมถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา พรรค ปชน. ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน โผ ครม. อยู่ที่นายอนุทินคนเดียว ตนไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะหากเราไปยุ่งเกี่ยว เส้นแบ่งการทำหน้าที่ฝ่ายค้านกับรัฐบาลก็ไม่ถูกต้อง ชื่อหรือโผ ครม. ที่ออกมาอาจจะยังไม่นิ่ง ยืนยันตั้งแต่วันนี้ว่าการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของนายกฯ ที่ชื่ออนุทิน พรรค ปชน.ยังทำอย่างเต็มที่ ไม่ออมมือแน่นอน เมื่อถามว่ามีอะไรอยากจะฝากบอกนายอนุทินหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า อยากให้นายอนุทินดำเนินการทุกอย่าง เป็นไปตามสัญญา ที่เซ็นไว้ในเอ็มโอเอ และทุกย่างก้าวของรัฐบาลต่อจากนี้ประชาชนรวมถึงพรรค ปชน. ในฐานะฝ่ายค้านจับตาดูอยู่ หากทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือใช้อำนาจบริหารในทางไม่ชอบ เราคงไม่สามารถรอมชอมได้ จะเดินหน้าตรวจสอบและใช้กระบวนการในสภาอย่างเต็มที่
หลังหลายคนรอลุ้นว่า "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ จะเดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งบังคับโทษถึงที่สุดหรือไม่ของอดีตนายกฯ กรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 9 ก.ย. ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ก.ย. เวลา 14.53 น. อดีตนายกฯ ก็ปรากฏตัวให้เห็นที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ตามที่เคยให้ข่าวในโลกโซเชียล
ส่วนกรณีศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งบังคับโทษถึงที่สุดหรือไม่ของ นายทักษิณ สืบเนื่องจากอดีตนายกฯ ที่เดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 ก่อนจะถูก ควบคุมตัวไปรับโทษ หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษจากเดิมที่โทษจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี แต่ในคืนวันเดียวกันอดีตนายกฯ เกิดอาการป่วย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลตำรวจ โดยพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 จนกระทั่งได้รับพักโทษเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2567 นำมาสู่เสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย ตั้งคำถามว่าตกลง "ป่วยทิพย์" หรือ "ป่วยจริง"
ทำให้ "นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์" อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้ตรวจสอบนายทักษิณ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 และเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2567 ศาลมีคำสั่งยกคำร้องทั้งสองเรื่องโดยไม่ต้องไต่สวน โดยให้เหตุว่าเมื่อศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์
โดยศาลฎีกาฯ ได้นัดฟังคำสั่งคำร้องของนายชาญชัยในครั้งนี้ วันที่ 30 เม.ย. 2568 ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของนายชาญชัย เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้เป็นคู่ความ และผู้เสียหายของคดีนี้ โดยศาลฎีกาจะเป็นผู้ไต่สวนเอง ก่อนนัดไต่สวน ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษ คนปัจจุบันอย่างนายมานพ ชมชื่น ในวันที่ 13 มิ.ย. เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของขั้นตอนการส่งตัวผู้ป่วยไปรักษานอกเรือนจำ ก่อนที่จะ ออกหมายเรียกพยานมาไต่สวน หลังจากนั้นทั้งหมด 20 ปาก ภายหลังจากที่ศาลฎีกาฯ ไต่สวนพยานทุกปากเสร็จสิ้น ศาลได้นัดวันฟังคำสั่งเป็นวันที่ 9 ก.ย. เวลา 10.00 น. โดยออกหมายเรียก นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษคนปัจจุบัน รวมถึงตัวนายทักษิณ เข้ามาฟังคำสั่งในวันดังกล่าวด้วย
บทสรุป ในคำตัดสิน ของศาลฎีกาฯ จะมีผลต่อพรรคเพื่อไทย (พท.) เพราะถ้าหากมาในทางลบ ย่อมทำให้บรรดา สส.ของพรรคสีแดง ต้องรู้สึกหวั่นไหว ยิ่งพรรคอยู่ในสถานการณ์เป็นพรรคฝ่ายค้าน และปัญหาจากคลิปเสียง "น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" อดีตนายกฯ กับ "สมเด็จฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา ก็กลายเป็นบาดแผลใหญ่ เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสู้รบกันขึ้น ในที่สุดต้องรอดูคนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" ยังต้องติดบ่วงเรื่องคดีความอีกหรือไม่
“ทีมข่าวการเมือง”