คณะ IOT สำรวจพื้นที่"ภูมะเขือ" ชื่นชมทหารไทยควบคุมพื้นที่ได้สำเร็จ
(19ส.ค.68) กองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมข่าวทหาร ได้จัดให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ลงพื้นที่สังเกตการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยจุดแรกที่ไป คือ ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี บริเวณอนุสาวรีย์ตาอม ซึ่งเมื่อคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวเดินทางมาถึงได้ไม่กี่นาที ระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปในพื้นที่ ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาเดินเข้ามาทำทีท่าไม่พอใจ และพูดจาโวยวายใส่ทหารไทย ต่อหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว โดยอ้างว่าตนได้รับคำสั่งเพียงว่าวันนี้จะมีแต่คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT และ ผู้ช่วยทูตทหารเดินทางมาเท่านั้น แต่ไม่ได้รับคำสั่งว่าจะมีสื่อมวลชนมาด้วยเยอะขนาดนี้ อีกทั้งยังอ้างข้อตกลงในการประชุม JBC ครั้งแรกอีกว่า แต่ละฝั่งให้ส่งทหารประจำการในพื้นที่ได้ฝั่งละ 5 นาย
ขณะที่ฝั่งทหารไทยก็พยายามชี้แจงว่า วันนี้ที่คนมาเยอะเพราะเราได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวและผู้ช่วยทูตทหารมา ซึ่งครั้งที่กัมพูชาพาคณะทูตมา ทำไมถึงยังพามาได้ และจุดที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ก็เดินเข้าได้ปกติ แต่ทำไมวันนี้ถึงเข้าไม่ได้
ขณะที่ พันเอก ฉิน ขนา หัวหน้าชุดประสานงานช่องอานแซะ หรือที่ภาษาไทยเรียกว่าช่องอานม้า ได้ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า วันนี้เราได้รับคำสั่งว่าฝั่งไทยจะมีคณะทูต IOT เดินทางมา ซึ่งเราไม่ติดปัญหาอะไร แต่คณะสื่อมวลชนหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ไม่อนุญาตให้เข้าไปบริเวณอนุสาวรีย์ตาอม
ต่อมา เวลา 12:00 น. กองบัญชาการกองทัพไทย โดยกรมข่าวทหาร ได้นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียน ลงพื้นที่สังเกตการณ์จุดที่ 2 คือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร หรือที่เรียกว่า ผามออีแดง
โดยคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว และผู้ช่วยทูตทหารได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ปัจจุบัน
คณะ IOT ลงพื้นที่จุดทหารไทยเหยียบระเบิดเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ยืนยันใช้เส้นทางลาดตระเวนประจำ พร้อมเคลียร์พื้นที่ไปร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่กลับพบทุ่นระเบิดถูกนำมาวางใหม่ เบื้องต้นลักษณะการทำงานเป็นการกดทับหรือถูกเหยียบแล้วจะระเบิด
สำหรับจุดที่ 3 ทหารของกองทัพภาคที่ 2 ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ให้ขึ้นไปที่ฐานกฤษณาได้เพียง 11 คนเท่านั้น โดยมีผู้สื่อข่าว 5 คน / ช่างภาพ 5 คน และช่างภาพนิ่ง 1 คน เพื่อให้ขึ้นไปดูหลักฐานที่ตรวจพบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ในพื้นที่ลาดตระเวนของทหารไทย ซึ่งเพิ่งถูกวางใหม่ จนทำให้มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ต้องใช้รถยนต์ทหาร FTS พาขึ้นไปเท่านั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าตลอดทาง และถนนหนทางสัญจรลำบาก โดยระยะทางจากผามออีแดงไปถึงฐานกฤษณา มีระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง
กระทั่งถึงฐานกฤษณา ตัวแทนทหารไทย ได้พาคณะ IOT ไปดูพื้นที่จุดยุทธศาสตร์จุดนี้ พร้อมอธิบายพื้นที่ฐาน ว่าพบการเหยียบกับระเบิดของทหารไทยเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า “จุดนี้เป็นพื้นที่ลาดตระเวนต่อเนื่อง เป็นพื้นที่ประจำ แต่กลับพบกับระเบิดใหม่วางอยู่ในเส้นทางลาดตระเวนของทหารไทย ทำให้ทหารไทยเหยียบกับระเบิด“
โดยหลังจากนั้นได้ให้หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าพื้นที่มาตรวจสอบ และเก็บกู้ระเบิดที่ถูกวางใหม่ ในพื้นที่จุดเดิมที่พบ ห่างไปประมาณ 10 เมตร เพื่อให้หน่วยเก็บกู้เข้าจัดการเคลียร์พื้นที่ และเบื้องต้นสามารถเก็บได้อีก 1 ลูกเพิ่มเติม ในรัศมีใกล้เคียง
จากนั้นตัวแทนทหารไทย ได้พาคณะ IOT เดินไปดูพื้นที่จริง เป็นจุดพบวัตถุระเบิด M203 ซึ่งเป็นลูกระเบิดขนาด 40 มิลลิเมตร เป็นระเบิดที่กัมพูชายิงมาในวันก่อนวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนการหยุดยิง แต่ระเบิดนี้ได้ถูกเคลียร์ไปแล้ว เพื่อความปลอดภัย และรอการเก็บกู้ จึงสามารถดูตัวอย่างได้ รวมไปถึงยังได้ดูระเบิด PMN2 ที่เก็บกู้ได้เมื่อวานนี้ 1 ลูก โดยรวมทั้งหมดในพื้นที่นี้ พบมีทั้งหมด 3 ลูก ทางตัวแทนทหารไทยจึงย้ำว่า “พื้นที่จุดนี้ได้เคลียร์ระเบิดเก่าไปแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นระเบิดที่พบเป็นระเบิดที่ถูกนำมาวางใหม่“ และจากการสังเกตสภาพของทุ่นระเบิดค่อนข้างอยู่ในสภาพใหม่
และช่วงหนึ่งพลตรีซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ในฐานะหัวหน้าคณะ IOT ได้สอบถามลักษณะการทำงานของระเบิดตัวนี้ โดยทหารไทย อธิบายว่า ลักษณะการทำงานเป็นการกดทับหรือถูกเหยียบแล้วจะระเบิด
โดยคณะ IOT ยังได้เดินไปดูพื้นที่จุดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดด้วย ห่างไปประมาณ 150 เมตรด้วย แต่ไม่สามารถเข้าไปใกล้พื้นที่ได้มาก เพราะเจ้าหน้าที่ได้กั้นพื้นที่เอาไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าสแกนพื้นผิวเคลียร์วัตถุระเบิดตกค้าง จึงทำให้ได้เห็นเพียงแค่ไกลๆ และจุดสำคัญอีกจุด เป็นหลุมคอร์100 ลักษณะเป็นหลุมระเบิดที่ห่างจากจุดที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ไปประมาณ 20 เมตร จุดนี้เป็นหลุมที่มีขนาดกว้าง ที่กัมพูชายิงเข้ามาในช่วงก่อนหยุดยิง
ซึ่งจุดนี้ทหารไทยชี้แจง คณะ IOT ว่ายังเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย และยังใช้หน่วยเก็บกู้เข้าเคลียร์พื้นที่อยู่ ซึ่งภายหลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดทหารไทยจึงได้นำเครื่องกีดขวาง คือรั้วลวดหนามหีบเพลงมาวางกั้นพื้นที่ไว้ เพราะทหารกัมพูชายังมีความพยายามที่จะลักลอบเข้ามาวางระเบิดอยู่ และจุดนี้จะอยู่ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 100 เมตร
ทั้งนี้ทหารไทย ยืนยันว่า จุดนี้เป็นจุดที่ทหารไทยลาดตระเวนเป็นประจำ และไม่เคยเจอทุ่นระเบิดมาก่อน
สำหรับจุดที่ 4 เป็นจุดสุดท้าย คือ ภูมะเขือ โดยระหว่างทางขึ้น ทหารไทยได้พาคณะทูต IOT ลงไปดูระเบิดสังหารชนิดต่างๆ ตั้งแต่ระเบิดสังหารบุคคล ไปจนถึงระเบิดสังหารดักรถถังที่มีขนาดใหญ่ โดยทหารไทยได้รายงานให้คณะทูต IOT ทราบว่าในพื้นที่ 5 ฐาน ตรวจพบระเบิดสังหาร 46 ทุ่น ซึ่ง 46 ทุ่นนี้ มี 16 ทุ่น ยังไม่ระเบิด และพบอยู่ในฐานฝั่งตรงข้ามใส่กระสอบทรายเอาไว้ ห่างจากจุดนี้ประมาณ 100 - 200 เมตร และห่างจากชายแดนประมาณ 200 เมตร นอกจากนี้ยังพบระเบิดอยู่กับที่ 22 ทุ่น และระเบิดหนักรถถังอีก 2 ทุ่น
โดยช่วงหนึ่งระหว่างที่ พล.ต.ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ได้ดูทุ่นระเบิดสังหารชนิดต่างๆ อยู่ ไปถึงจุดสุดท้ายเป็นโต๊ะหน่วยเก็บทุ่นระเบิดของกองทัพเรือ โดยพล.ต.ซัมซุล ได้เข้าไปจับมือ พร้อมให้กำลังใจ เนื่องจากเจ้าตัวเคยเก็บกู้วัตถุระเบิดบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย มาก่อนและเป็นผู้มีความชำนาญ ซึ่งพล.ต.ซัมซุล ได้กล่าวให้กำลังใจทหารไทยด้วยว่า “ขอบคุณสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ พวกคุณทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จำไว้ว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นประโยชน์กับทุกคน ดูแลตัวเอง คุณเป็นทีมเดียวกัน“
เมื่อถึง"ภูมะเขือ"ทหารประจำหน่วยได้อธิบายพื้นที่ว่าบริเวณดังกล่าว เป็นจุดของกำลังทหารไทย ซึ่งควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด และปัจจุบันมีการวางกำลังเพื่อรักษาพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จบนยอดภูมะเขือทั้งหมด ก่อนจะเดินไปยังจุดยอดภูมะเขือที่มีการปักธงชาติไทยไว้ โดย พล.ต.ซัมซุล ได้สอบถามถึงเส้นแนวเขตของไทย และเส้นแนวเขตของกัมพูชา พร้อมชี้แจงถึงการปฏิบัติการของทหารไทยที่มีการผลักดันทหารของกัมพูชาออกจากแนวเขต ให้ถอยลงไปหลังแนวบันไดกระเช้า ซึ่งช่วงหนึ่งตัวแทนคณะทูตจากบรูไนได้ยกนิ้วชื่นชมทหารไทยของเราด้วย
ข่าวเวิร์คพอยท์23