ขนมสายไหมที่ขาดไม่ได้ในเทศกาลญี่ปุ่น แท้จริงแล้วไม่ได้มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น!?
เมื่อพูดถึงความสนุกในฤดูร้อนของญี่ปุ่นไม่ว่าใครก็คงต้องนึกถึงงานเทศกาลกัน โดยเมื่อถึงช่วงฤดูร้อนแล้วงานเทศกาล เช่น งานวัดหรืองานเต้นรำวงบงโอโดริก็จะต่างพากันมีจัดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือได้เลยว่าเป็นภาพประจำฤดูร้อนของญี่ปุ่นในใจของใครหลายต่อหลายคน และเป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ ทุกคนต่างพากันตั้งตาหน้าตั้งตารอคอยกันในทุก ๆ ปี โดยหนึ่งในความสนุกของงานเทศกาลที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็เชื่อได้เลยว่าคือ “ขนมและอาหารต่าง ๆ” จริงไหมคะ?
“วาตะอาเมะ” (Wataame = 綿飴) หรือ “ขนมสายไหม” สีขาวหรือชมพูอ่อน ที่นุ่มฟูราวกับก้อนเมฆและพร้อมที่จะละลายหายไปทันทีเมื่อเข้าปากนั้น ถือเป็นหนึ่งในอาหารประจำงานเทศกาลฤดูร้อนของญี่ปุ่น ทั้งนี้ เจ้าขนมหวานสายไหมนุ่มฟูหอมหวานนี้ในแถบคันไซของญี่ปุ่นจะถูกนิยมเรียกว่า “วาตะงาชิ” (Watagashi = 綿菓子) มากกว่าค่ะ
ขนมสายไหมจัดว่าเป็นขนมที่ทำง่าย เพราะแค่นำน้ำตาลมาใส่ในเครื่องให้ละลายแล้วใช้ไม้เสียบหมุนเป็นวงกลม ๆ ในเครื่องจนเส้นน้ำตาลบาง ๆ พากันรวมจับตัวกันจนเป็นก้อนนุ่มเหมือนสำลี เนื่องจากมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยาก ดังนั้นไม่เพียงแค่ในงานเทศกาลหรืออีเวนต์เท่านั้น แต่ในโซนเกมของห้างสรรพสินค้าที่ญี่ปุ่นบางแห่งก็มีการตั้งตู้จำหน่ายทำขนมสายไหมอัตโนมัติที่ตัวเราสามารถที่จะลองทำขนมสายไหมด้วยตัวเองได้อีกด้วย แต่ขนมสายไหมที่เห็นเรามักจะพบเจอเห็นกันได้ทั่วไปตามงานหรือสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วมันถูกคิดค้นขึ้นเมื่อไร? และเกิดขึ้นที่ไหน? และมีวิธีการคิดค้นประดิษฐ์สร้างขึ้นมาได้อย่างไรกัน? วันนี้จะมาไขข้อข้องใจกันค่ะ
ขนมสายไหมไม่ได้เกิดที่ญี่ปุ่นแล้วมาจากไหน?
ขนมสายไหมชิ้นแรกของโลกไม่ได้ถูกผลิตขึ้นที่ญี่ปุ่น แต่เกิดขึ้นที่รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1897 โดยเกิดจากการร่วมมือกันของ ดร. William James Morrison ทันตแพทย์ กับ นาย John C. Wharton นักทำขนมที่ได้คิดค้นเครื่องทำขนมสายไหม (Cotton Candy Machine) เครื่องแรกของโลกขึ้นด้วยกัน โดยเจ้าขนมสายไหมนี้ในตอนนั้นจะถูกเรียกว่า “Fairy Floss” ซึ่งแปลว่า “ปุยฝ้ายของนางฟ้า” หรือ “เส้นไหมของเทพธิดา” (ในปัจจุบันที่สหรัฐฯ จะนิยมเรียกว่า “Cotton Candy” มากกว่า) โดยคำว่า “Floss” ที่ปรากฏในชื่อเครื่องทำขนมสายไหมนี้เป็นคำเดียวกับ “Dental Floss” อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดฟัน เนื่องจาก ดร. Morrison หนึ่งในผู้คิดค้น เป็นทันตเเพทย์ จึงเชื่อกันว่าเขาเป็นผู้ตั้งชื่อขนมสายไหมนี้ค่ะ
อนึ่ง ขนมสายไหมจะถูกเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยที่ฝรั่งเศสจะเรียกว่า “Barbe à papa” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “หนวดของพ่อ” ซึ่งภาพลักษณ์นั้นอาจเป็นเพราะหนวดสีขาวฟู ๆ ให้อิมเมจแนเหมือนกับนวดเคราของซานตาคลอสนั้นเองค่ะ และที่อังกฤษจะเรียกว่า “Candy Floss” แปลว่า “ขนมเส้นไหม” และที่เกาหลีเรียกว่า “Som Satang” แปลว่า “ลูกอมสำลี” เป็นต้นค่ะ
ทั้งนี้ เจ้าเครื่องทำขนมสายไหมนี้ได้ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน World’s Fair ปี ค.ศ. 1904 ซึ่งมีจัดขึ้นที่เมืองเซนต์หลุยส์ (เป็นงานแสดงสินค้าโลก) โดยได้รับความนิยมอย่างมาก โดยขายไปได้ถึง 68,655 ชิ้น ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าราคาของเจ้าขนมสายไหมนี้ 1 ชิ้นจะสูงถึง 25 เซนต์ ซึ่งถือว่าเป็นราคาครึ่งหนึ่งของราคาตั๋วเข้างานเลยทีเดียวก็ตาม แต่เจ้าขนมลักษณะฟู ๆ คล้ายเมฆ ซึ่งไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนนั้นดูแปลกใหม่ ทำให้ผู้คนต่างพากันรู้สึกอดใจไม่ได้ที่จะซื้อมาลองชิมกันดูค่ะ
ขนมสายไหมเริ่มแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นช่วงปลายสมัยยุคเมจิถึงสมัยยุคไทโช
หลังจากที่ขนมสายไหมได้รับความนิยมอย่างมากในงาน World’s Fair ที่เมืองเซนต์หลุยส์ พอเมื่อถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นก็เกิดเป็นสินค้ายอดฮิตติดกระแสในทันที โดยเครื่องทำขนมสายไหมได้ถูกซื้อและนำไปใช้กระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นขนมคู่ใจงานเทศกาลญี่ปุ่น จนถึงขนาดที่ว่า “ถ้าพูดถึงงานเทศกาลก็ต้องมีขนมสายไหม”
เคล็ดลับในการกินขนมสายไหมให้อร่อยคือ?
ขนมสายไหมที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ จะมีรสสัมผัสที่นุ่มฟู ราวกับกำลังกินก้อนเมฆ สิ่งนี้ถือว่าเป็นเสน่ห์ที่โดดเด่นของเจ้าขนมที่ใคร ๆ ต่างพากันชื่นชอบนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ คือ น้ำตาลทรายชนิดหยาบที่ถูกยืดออกเป็นเส้นบาง ๆ คล้ายเส้นด้าย ขนมสายไหมจึงไวต่อความชื้นมาก และหากปล่อยทิ้งไว้ สัมผัสฟู ๆ นั้นก็จะค่อย ๆ หายไปตามกาลเวลา จึงเชื่อได้เลยว่าหลายคนอาจเคยมีประสบการณ์อันน่าผิดหวังที่ขนมสายไหมที่ซื้อกลับมาจากงานเทศกาล พอตื่นเช้ามากลับยุบแบนละลายหายไปหมด ขนมสายไหมนั้น “ความสดใหม่” ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ ดังนั้นเคล็ดลับในการรับประทานขนมสายไหมให้อร่อยที่สุดมีเพียงข้อเดียว คือ “ต้องรีบกินตอนที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ เท่านั้นค่ะ”
เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับเรื่องราวของขนมสายไหมที่ทางเราได้นำมาเสนอกันในครั้งนี้ คราวหน้าเราจะมานำเสนอประวัติและเรื่องราวที่น่าสนใจของขนมอะไรกันนั้น รอติดตามกันต่อไปเรื่อย ๆ ได้เลยนะคะ
สรุปเนื้อหาจาก : mag.japaaan