จาก 14 ตุลา สู่ม็อบไล่นายกฯอิ๊งค์
จาก 14 ตุลา สู่ม๊อบไล่นายกฯอิ๊งค์
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การชุมนุมทางการเมืองกลายเป็นกลไกสำคัญที่คนไทยใช้ “ส่งเสียง” ท่ามกลางโครงสร้างอำนาจที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง แต่กลับ “นิ่งสนิท” ในแก่นแท้ของประชาธิปไตย
กระแสมวลชนกำลังหวนคืนสู่ท้องถนนอีกครั้ง เมื่อกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดินเพื่อประชาธิปไตย” ออกมาประกาศกร้าว “ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกทันที” พร้อมคำเตือนว่า หากเมินเฉย ม็อบจะยกระดับให้ถึงที่สุด
คำถามใหญ่จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง การชุมนุมครั้งนี้ จะนำประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือผลักให้กลับสู่เส้นทางรัฐประหารอย่างที่เคยเป็นมา?
ขณะที่สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดินฯ” กำลังทวีความเข้มข้น หลังการตั้งเงื่อนไขให้ “นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร” ลาออก รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีตคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับ The Room44 โดยชี้ว่า สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ควรถูกใช้เป็น “เหตุนำ” ให้รัฐอ้างใช้อำนาจพิเศษ
และหากนับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ประชาชนไทยได้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเผด็จการทหารอย่างหาญกล้า แม้จะแลกด้วยเลือดและชีวิต แต่ผลลัพธ์คือการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของประชาธิปไตยไทย
ในปี 2535 เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ก็จารึกชื่อของประชาชนอีกครั้ง เมื่อมวลชนลุกขึ้นต่อต้านการกลับคืนสู่อำนาจของนายทหารผ่านการแต่งตั้ง ท้ายที่สุดต้องจบลงด้วยการยุติอำนาจของคณะรัฐประหาร
แต่หลังจากนั้น การเมืองไทยเริ่มวนซ้ำ
ปี 2549: รัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ
ปี 2557: รัฐประหารล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ปี 2563–2565: คลื่นนักศึกษา-เยาวชน ลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำขวัญ “โค่นเผด็จการ - ปฏิรูปสถาบัน” แต่จบลงด้วยการสลายการชุมนุม และคดีความตามมา เสียงมวลชนดังทุกครั้ง แต่โครงสร้างอำนาจไม่เคยสะเทือน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 กลุ่ม “รวมพลังแผ่นดินฯ” ที่นำโดย จตุพร พรหมพันธุ์, วีระ สมความคิด และอดีตแกนนำอีกหลายคน รวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยตั้งเงื่อนไขให้ “นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่ง
ข้อเรียกร้องไม่ใช่แค่ “ลาออก” แต่ยังรวมถึง
-ถอนพรรคร่วมออกจากรัฐบาล
-ยุติการสืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ
-ปฏิรูปองค์กรตุลาการ
-ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
แม้การชุมนุมในวันแรกจะยังคงสงบ แต่แกนนำย้ำชัดว่า “นี่คือการเริ่มต้น และจะยกระดับทันทีหากรัฐบาลไม่ตอบสนอง”
หากย้อนดูบทเรียนในอดีต การชุมนุมที่ “ยืดเยื้อ” และ “ไร้ทางออกทางการเมือง” มักจบลงด้วย “อำนาจนอกระบบ” เข้ามาควบคุมสถานการณ์ เช่น ในปี 2557 ที่ คสช. ยึดอำนาจหลังความวุ่นวายยาวนานจากทั้งม็อบ กปปส. และกลไกรัฐสภาที่ล่มสลาย
การชุมนุมทางการเมืองของไทยไม่เคยเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็น “การประลองกำลัง” ระหว่างเสียงของประชาชน กับกลไกของโครงสร้างรัฐ
ขณะที่แกนนำประกาศย้ำ ไม่ได้ชุมนุมเพื่อรัฐประหาร แต่เพื่อเรียกความรับผิดชอบจากผู้นำรัฐบาล ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่า สุดท้ายปลายทางของคลื่นมวลชนรอบนี้ จะนำไทยไปสู่ การเปลี่ยนแปลง หรือกลับสู่วังวน อำนาจเก่า อีกครั้ง
ท้ายที่สุด นี่อาจไม่ใช่การชุมนุมเพื่อเปลี่ยนผู้นำ แต่อาจเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ว่า ประชาธิปไตยไทย จะเดินหน้า หรือถอยหลังอีกครั้งหนึ่ง