‘พิชัย’ ปักธง 3ก.ค. เปิดโต๊ะเจรจาสหรัฐฯ ยันงบ 1.15 แสนล้านช่วยบูสต์ศก.โตยาว!
'พิชัย' เหินฟ้าคุยสหรัฐฯ ปักธงเปิดโต๊ะเจรจา 3 ก.ค. 68 กางโจทย์ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนข้อสรุปอัตราภาษีจะออกมาเท่าไหร่ ยังไม่มีใครตอบได้ พร้อมยันรัฐเดินเครื่องอัดงบบูสต์เศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท ไม่ใช่สารกระตุ้นสั้น แต่ฝันปูพรมระยะยาว
30 มิ.ย. 2568 - นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเดินทางไปเจรจาเรื่องภาษีและการค้ากับสหรัฐฯ ว่า คาดว่าในวันที่ 3 ก.ค. นี้ จะสามารถเจรจาในประเด็นดังกล่าวได้ ซึ่งการเจรจารจะยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และได้วางโจทย์สำคัญที่จะเป็นประโยชน์กับทั้ง 2 ประเทศเป็นหลัก ส่วนจะได้ข้อยุติทันทีหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้ แต่เชื่อว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมที่สหรัฐฯ จะให้เป็นการบ้าน ซึ่งแต่ละประเทศจะแตกต่างกันออกไป
สำหรับการหารืออื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องภาษี แต่เป็นเรื่องการค้า กฎเกณฑ์ และกติกา ตลอดจนความไม่สะดวกทางการค้าต่าง ๆ เหล่านี้ จะมีการนำมาปรับให้มีความเหมาะสม และมองว่าเป็นข้อดีที่จะทำให้การนำเข้าและส่งออกระหว่างกันมีความคล่องตัวมากขึ้น
“ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความกังวลของทุกคน เพราะทุกคนมองกันว่า deadline คือวันที่ 8 ก.ค. 2568 ซึ่งเหลือเวลาน้อยมาก โดยผมมีแผนจะเดินทางในคืนวันที่ 30 มิ.ย. นี้ และคาดว่าจะได้เจรจาในอีก 2 วันข้างหน้า แต่ตรงนี้ไม่ใช่การเริ่มคุย เพราะที่ผ่านมามีการหารือกันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการยื่นข้อเสนอไปหลายครั้ง แต่รอบนี้ที่ไป คือ ไปเก็บตกในรายละเอียดส่วนที่เหลือ ข้อจำกัดของสหรัฐฯ ที่ใส่มาว่าต้องการอะไร โดยวางโจทย์การเจรจาที่จะเป็น win-win ส่วนข้อสรุปอัตราจะออกมาเป็นเท่าไหร่ จะเป็น 18% หรือต่ำกว่านั้น คงไม่มีใครทราบ” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ยังกล่าวถึงแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านงบประมาณ 1.15 แสนล้านบาท ภายใต้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย. นี้ โดยยืนยันว่าแผนการใช้งบประมาณดังกล่าวไม่ใช่เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการสร้างผลในระยะยาว ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การปรับกฎเกณฑ์ และการวางรากฐานที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
ทั้งนี้ การใช้งบประมาณในส่วนนี้ได้ถูกออกแบบด้วยหลักเกณฑ์ที่เข้มงวด 8 หลัก เช่น การกระจายงบให้ถั่วถึง การกระตุ้นการจ้างงาน และไม่ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษหากไม่จำเป็น พร้อมทั้งได้ตั้งคณะติดตามกำกับแผนการใช้เงินโดยตรง จากกรอบ 1.57 แสนล้านบาท โดยได้รับการสกรีนผ่านเกณฑ์แล้ว 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้กว่า 79% ใช้กับโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ระบบไฟฟ้า น้ำ และถนน ไปจนถึงการจ้างงาน เน้นให้ทันใช้จ่ายจริงภายในปีงบประมาณ เป็นการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ
“หลายคนบอกว่างบก้อนนี้เป็นเพียงสารกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น แต่ผมอยากจะบอกว่าแผนนี้รัฐบาลต้องการกระตุ้นแล้วให้เกิดผลระยะสั้น แต่นำไปซึ่งผลในระยะยาวด้วย และมองว่าหนี้สาธารณะไม่ใช่ปัญหาหลัก หากยังสามารถสร้างรายได้ในระยะยาว โดยอ้างอิงกรอบหนี้สาธารณะที่ไม่เกิน 70% ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 12 ล้านล้านบาท จากมูลค่าจีดีพีประเทศที่ประมาณ 19 ล้านล้านบาท ดังนั้นหากเศรษฐกิจโต ระดับหนี้สาธารณะก็จะยังอยู่ในกรอบ” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง กล่าว