ตำนานกาแฟบ้านป๊อก ต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน
ชุมชนบ้านป๊อกใน ต.ห้วยแก้ว อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ คือ หนึ่งในตัวอย่างชุมชนพื้นที่สูงที่หลุดพ้นจากบ่วงความยากจน ด้วยการหันมาปลูกกาแฟอาราบิก้าในรูปแบบของวนเกษตร ที่ช่วยสร้างรายได้ และ อนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
จากใบเมี่ยง สู่กาแฟอาราบิก้าคุณภาพ
ในอดีตชาวชุมชนบ้านป๊อกยังชีพด้วยการปลูกต้นชาอัสสัม เพื่อเก็บใบมาแปรรูปเป็นใบเมี่ยงหมัก ซึ่งให้ผลผลิตและรายได้เพียงปีละครั้ง จนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเล็งเห็นถึงบทบาทของชาวบ้านในการรักษาผืนป่าต้นน้ำ จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก” เพื่อส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าแทนชาอัสสัม พร้อมทดลองสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่สูง และพัฒนาจนได้ “กาแฟพันธุ์คาร์ติมอร์” ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชน
จุรีย์ อินจันทร์ ชาวบ้านป๊อกเล่าว่าอาชีพการทำเมี่ยงยากลำบาก นอกจากการเก็บใบเมี่ยงแล้ว ต้องหาฟืนมานึ่งใบเมี่ยง และ หาไม้ไผ่มาทำเส้นตอกเพื่อมัดเมี่ยงแล้ว ยังเป็นอาชีพที่มีรายได้ไม้แน่นอน ในปีหนึ่งๆจะได้เงินเพียงครั้งเดียว ส่วนการปลูกกาแฟแม้จะขายได้ปีละครั้งเหมือนกัน แต่ทำรายได้มากกว่าทำเมี่ยง ที่สำคัญคือสภาพภูมิประเทศของที่นี่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ต้นกาแฟจึงไม่ค่อยมีโรค และ เมล็ดกาแฟที่ได้ก็ให้รสชาติที่ดี
สวนกาแฟมีเนื้อที่ 16 ไร่ ก่อนปลูกทางโครงการหลวงพาไปศึกษาดูงานที่โครงการหลวงขุนวาง ในปี 2540 จึงเริ่มปลูก มีเจ้าหน้าที่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ให้ความรู้เยอะมาก มีการทำบ่อบำบัดน้ำเสีย กรองน้ำเสียจากขั้นตอนการหมัก เมื่อผ่านขั้นตอนการกรองแล้ว น้ำที่ได้ ก็นำไปรดสวนได้
ราคากาแฟปีนี้ อยู่ที่กิโลกรัมละ 180 บาท ถือเป็นราคาที่สูง และ น่าพอใจ ชาวสวนไม่ได้ลงทุนอะไรเยอะ ใส่ปุ๋ยที่ทำขึ้นเอง ดูแลตัดหญ้าเอง ไม่ได้จ้างใคร จะมีเฉพาะตอนเก็บจะว่าจ้างชาวบ้านเก็บเม็ดกาแฟกิโลกรัมละ 10 บาท ถ้าเก็บเร็ว คนเก็บก็จะมีรายได้ 500-600 บาทต่อวัน ดีกว่าเก็บเมี่ยงที่ลำบากกว่า แต่ได้เงินน้อย นอกจากนี้ ที่บ้านยังร้านอาหาร ร้านกาแฟ และ ห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว ทำให้มีรายได้เสริมอีก
จุรีย์ อินจันทร์ ชาวบ้านป๊อก
จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่เวทีนานาชาติ
ภายใต้ร่มเงาของป่าไม้ ต้นกาแฟได้รับการดูแลและเติบโตอย่างมั่นคง กว่า 30 ปีที่ชุมชนยึดมั่นในการปลูกกาแฟ ทำให้ผืนป่าคงความอุดมสมบูรณ์ควบคู่กับรายได้ที่มั่นคงของชาวบ้าน
วันนี้ บ้านป๊อกไม่ได้เป็นเพียงหมู่บ้านปลูกกาแฟอีกต่อไป แต่เป็นศูนย์การเรียนรู้ระดับนานาชาติ ภายใต้การอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมการปลูกและผลิตกาแฟบนพื้นที่สูง” โดยมีผู้เข้าร่วมจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ภูฏาน กัมพูชา ลาว เมียนมา เนปาล แทนซาเนีย และติมอร์-เลสเต รวมถึงเจ้าหน้าที่จาก UNODC (สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ)
ชาวบ้านบ้านป๊อกทำหน้าที่เป็น “วิทยากร” ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการปลูกกาแฟอย่างมีคุณภาพ แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จจากชุมชนเล็กๆ บนพื้นที่สูงนั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจและนำไปใช้ได้ในหลายประเทศ
เราไม่เน้นใช้สารเคมี สังเกตได้จากดินบริเวณโคนต้นจะไม่แข็งกระด้าง แต่โคนต้นกาแฟที่บ้านป๊อกจะเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีไส้เดือน และ แมลง ช่วยพรวนดินให้ตลอดเวลา
เรายังมีไม้อื่นๆ ทำให้มีรายได้ตลอดปี เช่น ต้นลิงลาว ซึ่งพืชล้มลุก แตกกอมีเหง้าอยู่ใต้ดิน เมื่อออกดอกชาวบ้านจะเก็บขายได้ในราคากิโลกรัมละ 300 บาท ส่วนผลก็มีราคา 80-100 บาท ที่สำคัญต้นลิงลาวเป็นพืชที่ช่วยป้องกันการพังทลายของหน้าดิน เพราะรากของลิงลาวจะแพร่กระจายในดินอย่างแน่นหนา และ ยังเก็บความชื้นได้ดี ชาวบ้านจะนำไปปลูกเพื่อเป็นพืชกันไฟป่าด้วย
กาแฟคุณภาพสูง ช่วยอนุรักษ์ป่าไม้
อติชาต จักรคำปัน หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตกเล่าว่า นับตั้งแต่โครงการหลวงเข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกาแฟภายใต้ร่มเงาป่าไม้ในปี 2524 โดยเน้นรักษามาตรฐานการปลูก แนะนำให้เกษตรกรใช้สารชีวภัณฑ์ เชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือ สารกำจัดมอดที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ มนุษย์ ผลผลิตกาแฟจึงมีคุณภาพ จนถึงวันนี้ กาแฟบ้านป๊อกก็ได้รับความนิยมทำให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น
กาแฟที่นี่ปลูกในระดับความสูงมากกว่า 1,000 เมตร และ เป็นพันธุ์กาแฟที่ดีทำให้ผลผลิตที่นำมาเทส มีคะแนนเกิน 80 ขึ้นไป ถือว่าเป็นกาแฟที่มีคุณภาพสูง
10 ปีที่ผ่านมา กาแฟมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะความต้องการบริโภคในประเทศ ผมจึงมองว่าในอนาคตกาแฟจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เกษตรกรที่เคยทำไร่หมุนเวียนก็หันมาปลูกกาแฟ ทำให้ป่าไม้กลับคืนมา และ กลายเป็นแหล่งทรัพยากร ที่ให้ผลผลิตด้วย
อติชาต จักรคำปัน หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก
วินิดา มังกรกาญจน์ นายกสมาคมกาแฟไทย เปิดเผยว่าปีที่ผ่าน ประเทศไทยมีปริมาณผลผลิตกาแฟ 16,000 ตัน และ มีราคาที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปี สาเหตุเพราะสภาพดินฟ้าอากาศเหมาะสม ขณะที่ปริมาณผลิตกาแฟทั่วโลกลดลง
วินิดา มังกรกาญจน์ นายกสมาคมกาแฟไทย
ส่วนแนวโน้มในปีนี้ปริมาณผลผลิตในบราซิล และ เวียดนาม น่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ราคากาแฟลดลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยจะไม่ต้องกังวลในเรื่องราคา เพราะภาครัฐและเอกชนได้ส่งเสริมให้เกษตรกรไทยปลูกกาแฟคุณภาพ ทำให้ไม่ต้องอิงกับราคาตลาดมากนะ กาแฟ จึงยังเป็นโอกาสของเกษตรกร ขณะที่ภาพรวมของกาแฟไทยก็มีการพัฒนาที่สูงขึ้น ทั้งรสชาติ และ คุณภาพของเมล็ดกาแฟ