ประธานศาลรธน. โต้เป็นศาลการเมือง ยันทำงานตามขั้นตอน ไม่ได้ตัดสินด้วยอารมณ์
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ย้ำบทบาทศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ศาลการเมือง โต้เป็นนิติสงคราม ชี้ศาลปฏิรูปตัวเองไม่ได้ ย้ำทำงานตามขั้นตอน ไม่ได้ตัดสินด้วยอารมณ์
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2568 ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่นนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการปฏิบัติงานของศาลรัฐธรรมนูญตลอดปีที่ผ่านมาว่า จะเรียกว่าเราเป็นศาลการเมืองก็ไม่ถูก เราเป็นศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับคดีรัฐธรรมนูญเท่านั้น
อยากให้ผู้สื่อข่าวและประชาชนทำความเข้าใจว่า คดีรัฐธรรมนูญคือเรื่องข้อพิพาท ทะเลาะเบาะแว้ง ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ คดีดังกล่าวมีที่มาจากหลายทาง กว่าครึ่งหนึ่งคดีที่มาจากศาลด้วยกันเองที่มองว่ามีข้อกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่น ศาลปกครอง ศาลอาญา และยังมีคดีอีกประเภทที่เพิ่มขึ้นมาในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 คือคดีที่ประชาชนสามารถมาร้องทุกข์เองได้ ซึ่งนานทีจะมีมา สัปดาห์ละ 3-4 คดี
“อีกประเภทคือคดีที่มาจากองค์กรอิสระด้วยกัน เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคดีที่มาจากสมาชิกรัฐสภา คือคดีที่ว่าด้วยคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เราต้องรับคดีที่ประชาชนทั่วไปจะเรียกว่าคดีการเมือง แต่ส่วนตัวขอเรียกว่าคดีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นายนครินทร์ กล่าว
นายนครินทร์ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอว่าควรมีโฆษกศาลรัฐธรรมนูญนั้นก็พยายามปรับตัว หน้าที่โฆษกก็ได้มอบหมายให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แต่เผอิญว่าช่วงนี้ล้มป่วย และมีรองเลขาธิการฯ รักษาการอยู่ อย่างไรก็ตาม เลขาธิการหรือรองเลขาธิการฯ อยู่ แต่ความสามารถด้านการสื่อสารกับสื่อมวลชนอาจจะยังน้อยไปสักนิดหนึ่ง
ยืนยันว่าตนในฐานะประธาน หรือแม้แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็ไม่ควรเป็นโฆษกศาลด้วยตนเอง ที่มาแถลงข่าวนี้ก็เพราะเป็นภารกิจที่ปีละครั้งได้พบสื่อมวลชน แต่ต้องขอความระมัดระวังว่าประธานหรือตุลาการไม่ควรแถลงข่าวด้วยตนเอง ควรจะมีโฆษกแยกไปต่างหาก
นายนครินทร์ กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอให้มีการปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญนั้น การปฏิรูปศาลที่สำคัญต้องทำจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ศาลเราปฏิรูปตัวเองไม่ได้ และอีกส่วนอาจจะเป็นการปรับปรุงเล็กน้อยที่กระทำโดยองค์กรของศาลเอง ที่จะมอบหมายให้มีผู้ปฏิบัติหน้าที่ ยกตัวอย่างเรื่องเอกสารข่าวของศาล ถ้าติดตามจะเห็นว่าปัจจุบันละเอียดขึ้นมาก มีการระบุว่าตุลาการเสียงข้างน้อยหรือเสียงข้างมากเป็นใคร ทุกอย่างชัดเจนเปิดเผย
“เราจะพยายามทำให้ละเอียด แต่ต้องบอกก่อนว่าในคณะตุลาการก็มีที่มาจากสายศาล เช่น ศาลฎีกา ศาลปกครอง หลายท่านก็บอกว่า การทำเอกสารข่าวขนาดยาวมากไม่ใช่ขนบธรรมเนียมของศาล ซึ่งก็เป็นข้อขัดข้อง ในขณะที่สายที่มาจากอาจารย์มหาวิทยาลัยก็คิดว่าเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ ก็จะให้ข้อมูลทางกฎหมายมากขึ้น” นายนครินทร์ กล่าว
นายนครินทร์ กล่าวว่า การเปิดเผยเสียงแต่ละฝ่ายของตุลาการนั้น เป็นดาบสองคม และทราบดีว่า การเปิดเผยชื่อไปก็เป็นดาบสองคม แต่ศาลของเราวางกติกามาแบบนี้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 และฉบับปี 2560 ก็รับกติกานี้มา ที่ตุลาการทุกคนต้องเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนและต้องเปิดเผย ซึ่งก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ได้ ดังนั้น ตุลาการแต่ละคนก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยของแต่ละบุคคล
เมื่อถามว่าสำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง นายนครินทร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้ร้องเข้ามาก็มีฝักฝ่าย คดีรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่ 2 ฝ่ายขัดแย้งกันอยู่เสมอ ถ้าเห็นตรงกันก็จะไม่มีเรื่องร้องเข้ามาที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนคำว่านิติสงคราม มองว่าเป็นคำที่พูดกันในสื่อมวลชน แต่เราไม่ได้คิดว่าเป็นนิติสงคราม เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่พิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ ซึ่งมาจากหลายทาง และแต่ละคดีมีที่มาตามกฎหมายกำหนดไว้
“ศาลก็มีกระบวนการพิจารณา ต้องฟังความเห็นทุกฝ่าย มีขั้นตอนการชี้แจงต่างๆ อีกมากมาย เราก็ต้องทำงานตามขั้นตอน ไม่ใช่การตัดสินด้วยอารมณ์ เราก็ต้องว่ากันตามกฎกติกา” นายนครินทร์ กล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ประธานศาลรธน. โต้เป็นศาลการเมือง ยันทำงานตามขั้นตอน ไม่ได้ตัดสินด้วยอารมณ์
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.khaosod.co.th