ภาคเอกชนขอนแก่นสงสัยทำไมรัฐบาลต้องปรับขึ้นค่าแรงเฉพาะกลุ่มโรงแรมและงานบริการ
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่โรงแรมราชาวดี แอร์พอต ขอนแก่น นายเข็มชาติ สมใจวงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้า จ.ขอนแก่น และเจ้าของโรงแรมราชาวดี แอร์พอต ขอนแก่น เปิดเผยว่า การประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันในกลุ่มสถานการณ์ประกอบการด้านบริการและกลุ่มโรงแรมประเภทที่ 2 เป้าหมายคือการขึ้นค่าแรงตามที่ได้กำหนดนโยบายหาเสียงไว้แต่อยากเป็นข้อคิดคือการใช้อัตราเดียวกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในกลุ่มโรงแรมประเภทที่ 2 คือมีห้องพักเกิน 50 ห้องขึ้นไปหรือมีการให้บริการห้องอาหารนั้นเป็นสิ่งที่รัฐต้องทบทวนเนื่องจากอัตราค่าบริการโรงแรมที่อยู่ในเมืองใหญ่ เมืองหลวง กับโรงแรมที่อยู่ในภุมิภาคอัตราค่าห้องพักไม่เหมือนกัน โรงแรมภูมิภาคหลักร้อยบาท ขณะที่เมืองหลวงหรือเมืองท่องเที่ยวหลักพันบาท เมื่อต้นทุนค่าแรงเท่ากันที่ 400 บาท จะมีผลในเรื่องต้นทุนของการบริหารจัดการ เพราะทุกวันนี้ธุรกิจโรงแรมไม่ได้มีอัตราการเข้าพักที่สูงมาก ยกกณีศึกษาคือขอนแก่น ซึ่ง ธปท.ภาคอีสาน ได้มีการสำรวจแล้วพบว่าธุรกิจโรงแรมมีอัตราการเข้าพักและการดำเนินธุรกิจที่ลดลงเราอาจจะรู้สึกว่าเพิ่มขึ้นช่วงสงกรานต์พอหมดช่วงเทศกาลหรือฤดูกาลหยุดยาว อัตราการเข้าพักก็ลดลงต่ำกว่าปกติ
"ผมสงสัยว่าทำไมรัฐบาลถึงมองเฉพาะกลุ่มธุรกิจหรือธุรกิจบริการที่ต้องปรับอัตราค่าแรงตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการสวนทางกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนขณะที่ธุรกิจด้านอื่น ที่แรงงานทำอยู่ก็จะเกิดความเปรียบเทียบ และไม่มีคำตอบให้แรงงานว่าทำไมธุรกิจอื่นไม่มีการปรับ ซึ่งการจ้างงานลดลงนั้นดูได้จากการเติบโตของธุรกิจ ทุกวันนี้โรงแรมส่วนใหญ่ถ้ามีพนักงานลาออก ก็จะไม่มีใครจ้างงานเพิ่ม จะปรับการให้ทำโอที การให้พรนักงานทำหน้าที่ได้หลายด้าน หรือการจัดจ้างพนักงานแบบพาสไทมส์มาเสริม วันละ 3-5 ชม. หรือเฉพาะช่วงงานแต่ถ้านโยบายรัฐบาลบอกว่า 400 บาททุกที่จะเป็นปัญหา เพราะเมืองใหญ่มีการจ้างงานที่เท่ากับหรือมากกว่านโยบายอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานทักษะ แต่ถ้าเป็นโรงแรมในระดับภุมิภาค หรือในระดับอำเภอ จะได้่รับผลกระทบกับนโยบายนี้ชัดเจน"
นายเข็มชาติ กล่าวต่ออว่า นโยบายนี้ทำให้โรงแรมขนาดใหญ่นั้นเจ็บตัว ไม่ใช่ว่ายิ่งใหญ่ยิ่งได้ดี แม้อัตราเข้าพักจะมากหรือจะน้อยแต่อัตราต้นทุนคงที่่ เพราะเราต้องจ้างแม่บ้าน,พนักงานต้อนรับ,จัดเลี้ยงและแผนกอื่นๆ แต่ทุกวันนี้ในต่างจังหวัดอัตราการเข้าพักไม่ถึงร้อยละ 50 ในฐานะของผู้ประกอบการธุรกิจด้านการบริการและโรงแรมต้องขอขอบคุณนโยบายของรัฐบาลที่ได้เปิดโครงการเที่ยวคนละครึ่งออกมา ซึ่งจะสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มการท่องเที่ยวในประเทศได้มากและได้ดียิ่งขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงนี้นั้นลดลง แต่ด้วยกำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมทั้งนั้นลดลง ดังนั้นนโยบายการสนับสนุนเที่ยวคนละครึ่งจะกระตุ้นได้บ้างแต่ก็เป้นมาตรการระยสั้น โดยโครงการนี้สิ้นสุดเดือน ต.ค. ซึ่งก็จะเยียวยาและกระตุ้นได้บ้างแต่สิ่งที่ต้องการคือการสร้างความยั่งยืนเพราะงบประมาณที่ใช้นั้นอยู่ในช่วงฤดูฝน ทำไมไม่ขยายไปถึงฤดูท่องเที่ยวช่วงปลายปี จึงหวังว่านักท่องเที่ยวในประเทศจะมาเป้นกำลังซื้อทดแทนได้อย่างดี
"อย่างไรก็ตามธุรกิจโรงแรมๆได้รับผลกระทบจากตั้งแต่โควิด มาเจอภาวะสงครามจากต่างประเทศ ภาวะเศรฐกิจต่างๆ ทุกแห่งนั้นบาดเจ็บ และมาเจอภาวะความไม่เสถียรภาพทางการเมืองและภาวะเศรษ{กิจภายในซ้ำเข้ามาอีก ดังนั้นค่าแรงถ้ามองในเมืองใหญ่หรือสถานการณืทั่วไปจะมองว่าไม่มาก แต่เราอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบยากก้จะมีผลกระทบเยอะ ซึ่งอาจทำให้บางแห่งทนไม่ไหวปิดตัวไป ในระยะต่อๆไป ดังนั้นนโยบายเที่ยวคนละครึ่งที่ออกมาแม้จะระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีในช่วงฤดูฝนแต่ก็ขอให้มองในระยะอย่างและการช่วยเหลือเรื่อต้นทุน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภาษี และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งอาจจะมีนโยบายผ่อนผัน หรือการผ่อนชำระใดๆ และเมื่อกลับภาวะปกติก็กลับมาทบทวนกันใหม่เพื่อให้ประกอบการนั้นอยู่ได้ทั้งปี"